นางอาภา อรรถบูรณ์วงศ์ ประธานกรรมการบริหาร RICHY กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ในปี 58 เติบโต 10-15% จากปีก่อนที่คาดว่าจะมีรายได้ 1.23 พันล้านบาท โดยปีนี้จะมีการโอนโครงการคอนโดมิเนียมริชพาร์คแอทเจ้าพระยาที่เป็นโครงการขนาดใหญ่ ซึ่ง ณ สิ้นปี 67 บริษัทมียอดขายรอโอน(Backlog) กว่า 700 ล้านบาทที่จะทยอยโอนในช่วงปลายไตรมาส 3/58
นอกจากนี้ บริษัทยังมีโครงการอื่นที่เหลือขายและพร้อมโอนอีกกว่า 700 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นตัวสนับสนุนรายได้ในปีนี้ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ด้วย
สำหรับยอดขายในปีนี้บริษัทตั้งเป้าไว้ที่ 2 พันล้านบาท สูงขึ้นจาก 1.7 พันล้านบาทในปี 57 โดยมีแผนเปิดโครงการใหม่ในรูปแบบแนวสูงหรือโครงการคอนโดมิเนียมใหม่อีก 4 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 9,000-10,000 ล้านบาท โดยโครงการที่มีความชัดเจนแล้วในขณะนี้มี 2 โครงการ ได้แก่ คอนโดมิเนียมเดอะริชแอทสาทร-ตากสิน มูลค่า 2.1 พันล้านบาท เป็นอาคารชุดพักอาศัยสูง 23 ชั้น จำนวน 511 ยูนิต ซึ่งจะเปิดขาย Pre-sale โครงการดังกล่าวในวันที่ 24-25 ม.ค.
รวมทั้ง โครงการมิกซ์ยูส (mixed use) บนทำเลย่านนานา พื้นที่ 2.5 ไร่ที่บริษัทเพิ่งซื้อที่ดินไปเรียบร้อยแล้วจากกลุ่มงานทวี โดยโครงการนี้จะประกอบด้วยคอนโดมิเนียมและศูนย์การค้า มูลค่าโครงการ 3.5-4 พันล้านบาท ซึ่งรวมมูลค่าที่ดินแล้ว ซึ่งในส่วนของคอนโดมิเนียมจะเริ่มเปิดขาย Pre-sale ในช่วงไตรมาส 3/58
"โปรเจคใหญ่บนทำเลย่านนานา ซึ่งเรามองเห็นถึงศักยภาพของทำเลนั้นที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว แหล่งช้อปปิ้ง มีสปา และอื่น ๆ ใกล้โรงพยาบาล อีกทั้ง supply ในย่านนานามีอยู่ไม่มาก โครงการนี้เราต้องทำให้มีความแตกต่างจากโครงการอื่น แต่ต้องบอกตรงๆว่าที่ดินผืนนี้ที่เราได้มาจากงานทวีราคาแพงมาก ตารางวาละ 1.2 ล้านบาท การทำราคาขายก็อาจจะต้องทำในระดับพรีเมี่ยม กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของโครงการนี้จะเป็นกลุ่มลูกค้าต่างชาติและกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อมาก"นางอาภา กล่าว
นางอาภา กล่าวว่า แนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 58 จะเติบโตจากปีก่อน โดยได้รับอานิสงส์จากการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ โดยเฉพาะระบบรางจะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ ทำให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ขยายตัวขึ้นตามไปด้วย เนื่องจากจะมีการเปิดโครงการใหม่ทำเลแนวรถไฟฟ้า นอกจากนี้การลงทุนภาครัฐจะมีส่วนช่วยผลักดันให้ภาคเอกชนขยายการลงทุนตาม และส่งผลเชิงบวกไปถึงภาคครัวเรือน ทำให้รายได้ของประชาชนในประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่อกำลังซื้อให้ฟื้นกลับมา
ประกอบกับราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลงมากส่งผลดีต่อค่าใช้จ่ายของภาคเอกชนและครัวเรือน แม้ว่าราคาพืชผลทางการเกษตรจะยังอยู่ในระดับต่ำ แต่เป็นเรื่องที่เหนือการควบคุมเพราะเป็นไปตามกลไกตลาด แต่เชื่อว่าจะไม่เป็นผลกระทบเชิงลบที่มีนัยสำคัญมากนัก
นางอาภา กล่าวว่า แนวโน้มการแข่งขันของธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้คาดว่าจะมีความรุนแรงมากขึ้น โดยผู้ประกอบการรายกลางและรายเล็กจะต้องแข่งขันกับผู้ประกอบรายใหญ่อย่างมาก ซึ่งต้องปรับกลยุทธ์ในด้านการขายและการบริหารจัดการต้นทุนการก่อสร้างให้ใกล้เคียงกับผู้ประกอบการรายใหญ่ ขณะที่ปัจจุบันผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาด 5-6 ราย มีส่วนแบ่งตลาดที่ 50-60% ส่วนที่เหลือจะเป็นส่วนแบ่งตลาดของผู้ประกอบการรายกลางและรายเล็กอีกราว 100 ราย
ขณะที่ราคาโครงการในปีนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมตามแนวรถไฟฟ้า เป็นผลจากราคาที่ดินที่คาดว่าจะปรับขึ้นเฉลี่ย 10% จากปีก่อน รวมถึงค่าแรงที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น หากโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐออกมาอย่างเป็นรูปธรรม เพราะจะทำให้มีความต้องการแรงงานมากขึ้นตามมาด้วย ส่วนค่าวัสดุก่อสร้างมองว่าจะยังอยู่ระดับทรงตัว อย่างไรก็ตาม บริษัทยังไม่มีการพิจารณาปรับราคาขายโครงการเพิ่มขึ้นในขณะนี้
บริษัทตั้งงบซื้อที่ดินในปีนี้ที่ 2.5 พันล้านบาท ขณะนี้ใช้ไปแล้วกว่า 1 พันล้านบาทสำหรับซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมเดอะริชแอทสาทร-ตากสิน และโครงการมิกซ์ยูส บนทำเลย่านนานา ส่วนเงินที่เหลือบริษัทจะใช้ซื้อที่ดินในกรุงเทพฯและปริมณฑล บนทำเลที่มีศักยภาพและใกล้รถไฟฟ้า
"ทำเลที่เราจะนำเงินที่เหลือไปซื้อก็เป็นทำเลตามสถานีรถไฟฟ้าสถานีใหม่ที่มีดีมานด์มาก รวมไปถึงเป็นดีมานด์ใหม่ด้วย ส่วนตลาดในต่างจังหวัดเรายังไม่มีการพิจารณาเพื่อเข้าไปลงทุนและพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ เพราะเราคิดว่าต่างจังหวัดยังมีความเสี่ยงสูงอยู่มากในปีนี้ จากการที่ดีมานด์ยังอยู่ต่ำอยู่"นางอาภา กล่าว