"เราตั้งเป้าสิ้นปีนี้จะมีรายได้รวม 4.6 พันล้านบาท และเชื่อว่าอัตรากำไรสุทธิจะอยู่ประมาณ 15% โดยกำไรน่าจะเติบโตกว่าเท่าตัวถือเป็นอัตราสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท เนื่องด้วยบริษัทฯมีการรุกธุรกิจสื่ออย่างเต็มรูปแบบโดยเฉพาะธุรกิจทีวีดิจิตอล ขณะที่การประมูลฟุตบอล ลาลีก้า ในปีนี้ เราได้ให้ความสนใจน้อยลง ซึ่งต้องดูต้นทุนก่อนว่าคุ้มหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ธุรกิจอาร์เอสในปีนี้จะอยู่ที่ฟรีทีวี มีเดีย และวิทยุเป็นหลัก"นายสุรชัย กล่าว
การดำเนินธุรกิจในปีนี้ บริษัทจะใช้กลยุทธ์"คอปอร์เรท รีดีไซน์"(Corparate Redesign)ในทุกมิติ ทั้งด้านคอนเท้นต์ การบริหารลูกค้าและบุคคลากร รวมถึงการสร้างแบรนด์ เพื่อตอบโจทย์การเป็น Media Revolutionist 2015 มุ่งพัฒนาคอนเท้นท์ให้มีคุณภาพเข้าถึงได้ง่ายหลากหลาย เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและSynergy เข้าด้วยกันระหว่างกลุ่มทุกธุรกิจคอนเท้นต์และมีเดีย
สำหรับเงินลงทุนกว่า 300 ล้านบาทในปีนี้จะใช้ปรับปรุงอุปกรณ์ Broadcast เพื่อยกระดับระบบการถ่ายทำและการออกอากาศให้ช่อง RS ทั้งหมดเป็นมาตรฐานทีวีระดับชาติ อย่างไรก็ตาม บริษัทยังไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุน เนื่องจากมีเงินทุนหมุนเวียนในบริษัทเพียงพอต่อการลงทุนในอีก 3-5 ปีข้างหน้า และคาดว่าจะได้เห็นกำไรต่อหุ้น(EPS)ของบริษัทเติบโตอย่างเต็มที่
นายสุรชัย ยังเปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทปรับขึ้นอัตราค่าโฆษณาตั้งแต่ต้นปีทั้งธุรกิจมีเดียและธุรกิจเพลง โดยเฉลี่ยคิดเป็นอัตราค่าโฆษณาที่สูงขึ้นประมาณ 3 เท่า เมื่อเทียบกับอัตราในปีก่อน แบ่งเป็น ช่อง 8 มีอัตราค่าโฆษณาใหม่ที่ 70,000-200,000 บาท/นาที, ช่อง 2 ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 35,000-45,000 บาท/นาที, ช่อง You channel ปรับขึ้นเล็กน้อย และรายการวิทยุ ปรับขึ้น 20%
นายสุรชัย กล่าวถึงภาพรวมอุตสาหกรรมทีวีของไทยในปีนี้ว่า จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีเม็ดเงินโฆษณาใช้จ่ายผ่านสื่อทีวีเติบโตตามไปด้วย หลังการเปลี่ยนแปลงการส่งสัญญาณรับชมฟรีทีวีด้วยระบบดิจิตอลตลอด 1 ปีที่ผ่านมาเริ่มมีความชัดเจนยิ่งขึ้น ผู้บริโภคส่วนใหญ่เริ่มคุ้นเคยกับช่องทางเลือกใหม่ ส่งผลให้คอนเท้นต์จะยิ่งทวีความสำคัญมากยิ่งขึ้น เพราะผู้ครอบครองคอนเท้นต์ดีและมีศักยภาพจะสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคและทุกกลุ่มเป้าหมายได้ดีกว่า
ด้านนายดามพ์ นานา ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน RS กล่าวว่า บริษัทเตรียมขายหุ้นที่ได้มีการซื้อคืนมาก่อนหน้านี้ จำนวน 17.7 ล้านหุ้น ในช่วงไตรมาส 1/58 ถึงไตรมาส 2/58 ซึ่งจะเป็นการทยอยขายผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยราคาจะขึ้นอยู่กับสภาวะตลาดในช่วงนั้นๆ คาดว่าจะดำเนินการให้แล้วเสร็จได้ภายใน 2-3 สัปดาห์เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นในตลาดมากนัก
"คาดว่าจะขายหุ้นที่ซื้อคืนมาก่อนหน้านี้ เป็นจำนวน 17.7 ล้านหุ้น จะเป็นการทยอยขาย โดยจะต้องทำให้เสร็จก่อนเดือน ก.ย.นี้ เพื่อจะได้ไม่โดนลดทุนจดทะเบียน"นายดามพ์ กล่าว