“ปี 57 ที่ผ่านมา เป็นปีที่ภาวะเศรษฐกิจไทยชะลอตัว ทั้งจากผลกระทบของสถานการณ์ทางการเมือง และภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังฟื้นตัวไม่ชัดเจน ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัวทั้งด้านการบริโภค การลงทุน รวมถึงภาคการส่งออก จึงเป็นปีที่มีความท้าทายมากที่สุดอีกปีหนึ่ง ซึ่งจากภาพรวมผลประกอบการของกลุ่มทิสโก้ นับว่ายังคงมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง ด้วยหลักการดำเนินธุรกิจอย่างรอบรอบและระมัดระวัง ซึ่งเป็นไปตามที่เราได้วางไว้"นางอรนุช กล่าว
สำหรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในปี 58 กลุ่มทิสโก้จะมุ่งเน้นการขยายช่องทางการขายและการตลาด การขยายการขายผลิตภัณฑ์ และการขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยอาศัยจุดแข็งของทิสโก้ด้วยการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินตลอดช่วงชีวิตของลูกค้า ตลอดจนการขยายโอกาสธุรกิจผ่านพันธมิตรทางธุรกิจ การพัฒนากระบวนการทำงานและเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และการพัฒนาบุคลากรเพื่อสร้างความมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว
“จะเห็นว่าแผนดังกล่าว ครอบคลุมทั้งเป้าหมายการขยายธุรกิจ การขยายฐานลูกค้า จนถึงการพัฒนาระบบการทำงาน และพัฒนาคนซึ่งเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดของทิสโก้ ซึ่งทั้งหมดเป็นการเตรียมความพร้อมในทุกๆ ด้าน เราปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับสถานการณ์อยู่เสมอ เมื่อเศรษฐกิจกลับขึ้นมาอย่างเต็มที่ จะทำให้ทิสโก้สามารถก้าวไปได้อย่างรวดเร็ว และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในการดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน" นางอรนุช กล่าว
ทั้งนี้ สรุปผลประกอบการปี 57 งวดไตรมาส 4/57 มีกำไรสุทธิ 1,234.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.3% จากไตรมาสก่อนหน้า สาเหตุหลักมาจากการปรับตัวลดลงของการตั้งสำรองหนี้สูญที่ 21.5% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 เนื่องจากผลกระทบจากตลาดรถมือสองเริ่มมีแนวโน้มลดลง ทั้งนี้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิทรงตัวจากไตรมาสก่อนหน้าและรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยจากธุรกิจหลักปรับตัวลดลง 2.7% จากการอ่อนตัวของค่าธรรมเนียมพื้นฐานของธุรกิจจัดการกองทุน ตามการออก กองทุนรวมที่ลดลงในช่วงปลายปี โดยอัตราส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) เริ่มทรงตัวอยู่ที่ 2.57%
และทั้งปี 57 มีกำไรสุทธิ 4,249.51 ล้านบาท คงที่จากปีก่อนหน้า โดยมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นถึง 8.2% จากการปรับลดต้นทุนเงินฝากอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงต้นปี รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยจากธุรกิจหลักทรงตัวเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตามค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองหนี้สูญเพิ่มขึ้น 6.9% ตามภาวะราคาในตลาดรถมือสองที่ปรับตัวลดลง
เงินให้สินเชื่อรวมของกลุ่มทิสโก้ ณ วันที่ 31 ธ.ค.57 มีจำนวน 262,784 ล้านบาท ลดลง 8.3% จากปีก่อนหน้า ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ และสินเชื่อเพื่อผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ (Car Inventory Financing) ตามภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ฟื้นตัวช้า และตลาดรถยนต์ที่อ่อนตัวมาตลอดทั้งปี อย่างไรก็ดี สินเชื่ออเนกประสงค์ปรับตัวดีขึ้นตามความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น ถึงแม้จะมีผลกระทบจากหนี้สินภาครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ในขณะที่กลุ่มสินเชื่อธุรกิจยังคงขยายตัวที่ 3.8% จากการลงทุนภาคเอกชนที่เริ่มปรับตัวในทางบวก
กลุ่มทิสโก้ยังคงสามารถควบคุมต้นทุนการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยังคงอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้รวมอยู่ในระดับต่ำ ที่ 36.5% นอกจากนี้ ธนาคารทิสโก้ยังคงรักษาระดับฐานะเงินกองทุนที่แข็งแกร่งมาโดยตลอดทั้งปี โดยมีอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์ (BIS Ratio) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 16.7% สูงกว่าอัตราเงินกองทุนขั้นต่ำ 8.50% ที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีอัตราเงินกองทุนชั้นที่ 1 และชั้นที่ 2 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ 12.5% และ 4.2% ตามลำดับ