ขณะที่ตั้งงบลงทุนปีนี้ 1.2 หมื่นล้านบาท เพื่อใช้ซื้อที่ดินและพัฒนาโครงการ พร้อมเตรียมระดมทุนด้วยการออกหุ้นกู้ 1 หมื่นล้านบาท และมีแผนจะจัดตั้งกองทรัสต์เพื่อลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ (REIT) มูลค่า 1 หมื่นล้านบาท โดยมีโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์เป็นสินทรัพย์อ้างอิง
นายอดิศร ธนนันท์นรา กรรมการผู้จัดการ ของ LH กล่าวว่า กำไรสุทธิในปี 57 จะสามารถทำสถิติสูงสุดใหม่ได้ แม้ว่าจะไม่รวมกำไรที่ได้จากการจัดตั้งกอง REIT เพื่อเข้าลงทุนในสิทธิการเช่าศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 มูลค่า 6.058 พันล้านบาทเมื่อปลายปีที่ผ่านมา โดยได้บันทึกเป็นกำไรพิเศษในไตรมาส 4/57 จำนวน 1.5 พันล้านบาท สำหรับอัตรากำไรสุทธิของบริษัทในปี 57 อยู่ที่กว่า 20% และมีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 36%
ส่วนปีนี้บริษัทคาดว่าจะรักษาอัตรากำไรสุทธิให้อยู่ในระดับกว่า 20% จากการเติบโตของยอดขาย และการปรับราคาขายของโครงการต่างๆเพิ่มขึ้นมากกว่าต้นทุนราว 2-3% ขณะที่แนวโน้มต้นทุนการก่อสร้างปีนี้จะเพิ่มขึ้นไม่มากเมื่อเทียบกับปีก่อน
บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้รวมปี 58 อยู่ที่ 3 หมื่นล้านบาท เติบโต 10-12% จากปีก่อนที่คาดว่ามีรายได้กว่า 2.7 หมื่นล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 2.5 หมื่นล้านบาท โดยการเติบโตของรายได้ในปีนี้ จะมาจากรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์อยู่ที่ 2.8 หมื่นล้านบาท ซึ่ง ณ สิ้นปี 57 มียอดขายรอโอน 2.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้ในปีนี้ 5 พันล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้รายได้ในอีก 2 ปีข้างหน้า ปีละกว่า 7 พันล้านบาท ขณะที่ยังจะมีรายได้จากธุรกิจให้เช่าที่เป็นอพาร์ทเม้นท์และโรงแรมในปีนี้ราว 2 พันล้านบาทด้วย
ยอดขายในปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายไว้ที่ระดับ 3.4 หมื่นล้านบาท เติบโต 8% จากปีก่อนที่ทำยอดขายได้ 3.15 หมื่นล้านบาท โดยปีนี้มีแผนเปิด 17 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 3.7 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นโครงการในกรุงเทพฯและปริมณฑล 12 โครงการ และต่างจังหวัด 5 โครงการ แบ่งเป็นรูปแบบโครงการบ้านเดี่ยว 12 โครงการ โครงการทาวน์เฮาส์ 2 โครงการ และคอนโดมิเนียม 3 โครงการ ทั้งนี้ ช่วงเวลาของการเปิดโครงการใหม่จะอยู่ในไตรมาส 1-3 จะเปิดไตรมาสละ 2 โครงการ และในไตรมาส 4 จะเปิด 11 โครงการ
นายอดิศร กล่าวว่า แนวโน้มภาคอสังหาริมทรัพย์ทรัพย์ในปีนี้คาดว่าจะเติบโตได้มากกว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศที่ในปีนี้คาดว่าจะขยายตัวได้ 3-3.5% ขณะที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ จะขยายตัวได้แต่คงไม่ถึง 10% โดยจะต้องหวังการลงทุนของภาครัฐเข้ามาช่วยผลักดันการลงทุนภาคเอกชน และการบริโภคของภาคครัวเรือนให้เติบโตขึ้น
*ลงทุน 1.2 หมื่นลบ.
นายอดิศร กล่าวว่า บริษัทตั้งงบลงทุนปีนี้ 1.2 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น เงินลงทุนไว้ใช้สำหรับการซื้อที่ดินเพื่อนำมาพัฒนาโครงการประมาณ 8 พันล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 4 พันล้านบาทจะใช้ลงทุนพัฒนาหรือซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่า โดยแบ่งกว่า 2 พันล้านบาทใช้ซื้อโครงการอพาร์ทเม้นท์แห่งที่ 3 ในซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา คาดว่าจะสรุปได้ภายในครึ่งแรกปีนี้ โครงการดังกล่าวน่าจะสร้างรายได้ให้กับบริษัทมากกว่า 100 ล้านบาท/ปี ขณะที่ปัจจุบันบริษัทมีโครงการอพาร์ทเม้นท์ในซานฟรานซิสโกอยู่แล้ว 2 แห่ง
สำหรับเงินลงทุนส่วนที่เหลืออีกกว่า 1 พันล้านบาท จะใช้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ รวมถึงการพัฒนาโรงแรมแกรนด์ เซ็นเตอร์พ้อยส์ ทองหล่อ จำนวน 440 ห้อง ซึ่งได้เริ่มก่อสร้างเมื่อปลายปี 57 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 59
"เราคาดว่าเงินที่ไปใช้ลงทุนโครงการโรงแรมที่ทองหล่อ อาจจะเหลือนิดหน่อย เราก็อาจจะนำไปใช้ลงทุนหรือซื้อพวกโครงการที่เกี่ยวกับการให้เช่า ซึ่งเราก็มองหาโอกาสอยู่ไม่ว่าจะลงทุนเองหรือซื้อ ถ้าจะซื้อก็ตอนนี้มีคนมาเสนอเรื่อยๆ แต่ยังไม่ตัดสินใจ ส่วนโครงการศูนย์การค้าก็มีมองหาทำเลอยู รูปแบบคงคล้ายๆกับเทอร์มินอล 21 แต่ตอนนี้ยังหาทำเลเจ๋งๆแบบเทอร์มินอลไม่ได้"นายอดิศร กล่าว
นายอดิศร กล่าวว่า แผนระดมเงินทุนในปีนี้จะมาจากการออกหุ้นกู้มูลค่าราว 1 หมื่นล้านบาท เพื่อทดแทนหุ้นกู้เดิมที่ครบกำหนดอายุในปีนี้ 8 พันล้านบาท และอีก 2 พันล้านบาทจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน โดยจะแบ่งการเสนอขาย 2-3 ครั้งในปีนี้ โดยหุ้นกู้ชุดแรกจะออกในช่วงเดือน เม.ย. มูลค่า 5 พันล้านบาท อายุ 3 ปี คาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะต่ำกว่า 3.5% ต่อปี
นอกจากนี้ ยังมีแผนการจัดตั้ง REIT ประเภทโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ มูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะจัดตั้งกอง REIT กองใหม่ได้ในช่วงสิ้นปี 58 ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาที่จะนำสินทรัพย์ใดเข้ามาจัดตั้งกอง REIT โดยบริษัทมีโครงการโรงแรม 3 แห่ง ได้แก่ โรงแรมแกรนด์เซ็นเตอร์พอยส์ เทอมินอล 21 ,โรงแรมแกรนด์เซ็นเตอร์พอยส์ เพลินจิต และโรงแรมแกรนด์ เซ็นเตอร์พอยส์ ราชดำริ