นายปัญญา นิรันดร์กุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร WORK กล่าวว่า กำไรที่เพิ่มขึ้นมาจากการที่ลูกค้าเข้ามาซื้อโฆษณาของช่องทีวีดิจิตอล Workpoint TV เพิ่มมากขึ้น โดยมีลูกค้าที่ซื้อโฆษณาแบบแพ็คเกจกับทางช่อง Workpoint TV แล้วราว 1 พันล้านบาท ส่วนการขายในรูปแบบปรับเพิ่มขึ้นตามเรตติ้งรายการยังคาดว่าจะเข้ามาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะรายการของ ช่อง Workpoint TV ได้รับความนิยมจากผู้ชมเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะปีนี้บริษัทได้นำรายการจากช่อง 5 และ Modern nine tv มาอยู่ในช่อง Workpoint TV ทั้งหมด โดยจะเหลือ แค่รายการชิงร้อยชิงล้าน ซันไชน์เดย์ ทางช่อง 3 ที่ยังมีอยู่ในช่องฟรีทีวี อีกทั้งตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาบริษัทได้ปรับอัตราค่าโฆษณาของช่อง Workpoint TV เพิ่มขึ้น 4-5 เท่าจากปีก่อน โดยมีอัตราค่าโฆษณาอยู่ในช่วง 40,000-200,000 บาท/นาที
นอกจากนี้การที่บริษัทมีสตูดิโอไว้ใช้สำหรับถ่ายทำรายการ ตัดต่อ และเตรียมงานอย่างครบวงจรเป็นของตัวเอง ช่วยทำให้ประหยัดต้นทุนการผลิตรายการและส่งผลดีต่อกำไรของบริษัท โดยในกลางปีนี้สตูดิโอใหม่ที่บริษัทได้ลงทุนไปแล้ว 6 สตูดิโอ จะเสร็จสมบูรณ์ ทำให้ในช่วงกลางปีนี้บริษัทจะมีสตูดิโอทั้งหมด 15 สตูดิโอ จาก 9 สตูดิโอในปัจจุบัน ทั้งนี้ บริษัทได้ใช้เงินลงทุนสำหรับการสร้างสตูดิโอใหม่เฉลี่ย 100 ล้านบาท/สตูดิโอไปแล้วในช่วงปีที่ผ่านมา
ปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ที่กว่า 2 พันล้านบาท เพิ่มจากปีก่อน โดยรายได้ส่วนใหญ่มาจากช่อง Workpoint TV ซึ่งคาดว่าปีนี้จะทำรายได้ให้กับบริษัทราว 2 พันล้านบาท จาก 800 ล้านบาทในปีก่อน นอกจากนี้จะมีรายได้จากธุรกิจรับจัดงานอีเว้นท์ที่จะเข้ามาช่วยเสริม อีกทั้งยังมีรายได้จากธุรกิจคอนเสิร์ตและโรงละคร ที่ในช่วงเดือนมี.ค.-เม.ย.จะเปิดโรงละครที่สยามสแควร์วัน ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของรายได้ สำหรับช่อง Workpoint TV สัดส่วนของรายการจะแบ่งเป็น รายการวาไรตี้ 80% และส่วนที่เหลือจะเป็นละครที่บริษัทผลิตเอง และรายการที่ซื้อคอนเทนต์มาจากต่างประเทศ โดยคอนเทนต์จากต่างประเทศที่ซื้อมานั้นสามารถรองรับการออกอากาศได้ถึง 3 ปี ขณะที่บริษัทตั้งเป้าภายใน 3-5 ปีข้างหน้าจะยังรักษาอันดับของช่อง Workpoint TV ให้อยู่ในอันดับที่ 3 รองจากช่อง 7 และ 3 ตามลำดับ
ส่วนแนวโน้มธุรกิจทีวีดิจิตอลในปีนี้ มองว่าจะมีการเติบโตและคึกคักมากกว่าปีก่อนค่อนข้างมาก จากการที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้กระจายคูปองเงินสดแลกซื้อกล่องทีวีดิจิตอล ทำให้ประชาชนในประเทศเข้าถึงการรับชมช่องทีวีดิตอลมากขึ้น โดยปีนี้คาดว่าจะมีเม็ดเงินการลงทุนในส่วนทีวีดิจิตอลทั้งตลาดอยู่ที่ 80,000-100,000 ล้านบาท และเม็ดเงินโฆษณาก็มีเข้ามาในระดับใกล้เคียงกัน
"การที่แนวโน้มของธุรกิจทีวีดิจิตอลมีการเติบโตขึ้นจะส่งผลดีต่อช่องทีวีดิจิตอลของเราด้วย ซึ่งคาดว่าในปีนี้ช่อง Workpoint TV จะสดใสกว่าปีก่อนมาก และยังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง เอเจนซี่ต่างๆที่จะเข้ามาซื้อเวลาโฆษณาก็มีมากกว่าเมื่อก่อนนี้ ซึ่งโดยรวมก็เริ่มเห็นผลที่ดีออกมาแล้ว และรายการต่างๆก็ยังทำเรตติ้งได้ดี"นายปัญญา กล่าว