ทั้งนี้ นายศิริวัฒน์ กล่าวว่า จากที่มีข่าวว่าตนเองได้ซื้อหุ้นเพิ่มทุนของ SLC ในส่วนที่เสนอขายให้นักลงทุนเฉพาะเจาะจง(Private Placement) จำนวน 3,000 ล้านหุ้นที่ราคา 0.09 บาท/หุ้น มูลค่า 270 ล้านบาทนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการตัดสินใจ คาดว่าสิ้นเดือนนี้น่าจะมีข้อสรุป แต่ยอมรับว่ามีโอกาสสูงที่จะไม่เข้าซื้อดังกล่าว เพราะ SLC กำลังมีปัญหากับกลุ่มเนชั่น
"หุ้น PP ที่ SLC เสนอให้มา ผมมองว่าเป็นข้อเสนอ ขณะนี้อยู่ในช่วงที่ตัดสินใจ ซึ่งชีวิตผมตอนนี้ปกติสุขดีแล้ว ถ้า SLC มีปัญหาคงไม่เข้าไป ณ ตอนนี้มีโอกาสที่จะไม่ excercise สูง จากเดิมที่ผมเคยสนใจที่จะเข้าไปลงทุนธุรกิจสื่อ ตอนนี้เลิกสนใจแล้ว ที่เคยสนใจเพราะมองว่า IT ของ MFEC น่าจะเข้าไปเสริมและช่วยลดต้นทุนธุรกิจสื่อ เพื่อให้มีกำไรมากขึ้นได้"นายศิริวัฒน์ กล่าว
นายศิริวัฒน์ ชี้แจงว่าได้รับข้อเสนอให้ซื้อหุ้น PP ของ SLC ตั้งแต่เดือน พ.ย.57 เนื่องจากสำนักงานของ MFEC กับ SLC อยู่อาคารเดียวกัน และ SLC ก็กำลังต้องการทีมงานไอที จึงยื่นข้อเสนอมาให้ หลังจากนั้นตนเองก็ไปอุปสมบทและขอเวลาตัดสินใจก่อน ซึ่งกำหนดระยะเวลาชำระเงินค่าหุ้นเพิ่มทุน SLC คือภายในวันที่ 31 มีนาคม 58 แต่คิดว่าภายในเดือนนี้ก็คงตัดสินใจได้แล้ว
นอกจากนั้น นายศิริวัฒน์ ยังปฏิเสธรายงานข่าวที่ระบุว่าได้เข้าซื้อหุ้นของ บมจ.เอคิว เอสเตท(AQ)หรือเดิมคือ บมจ.กฤษดามหานคร (KMC) และไม่เคยใช้สิทธิในการซื้อหุ้น PP ซึ่ง AQ ทำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นธุรกิจที่ตนเองไม่มีความถนัด
สำหรับการดำเนินธุรกิจของ MFEC คาดว่าในช่วงที่เหลือของแผนงาน 5 ปี(ปี 55-59) กำไรสุทธิของบริษัทจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 15% ตามเป้าหมาย เพราะช่วง 3 ปีแรกก็สามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เพราะบริหารงานแบบ conservative เนื่องจากมองเป็นระยะยาวมากกว่า และพร้อมจะขยายไปในธุรกิจอื่น หากดูแล้วมี synergy ร่วมกันก็พร้อมจะร่วมกับพันธมิตรในการขยายธุรกิจ และขยายตลาดใหม่ในธุรกิจ IT ไม่ได้มีการปิดกั้น
"เคยประกาศไว้ว่าต้องการโต 15% ใน 5 ปีตอนนี้ผ่านไปแล้ว 3 ปี ก็คิดว่าถ้ากำไรโต 15% ขนาดของธุรกิจจะโตเป็น 2 เท่า ปี 57 กำไรก็น่าจะตามเป้า ซึ่งสะท้อนไปที่ราคาหุ้น ในระยะ 10 ปีที่ผ่านมา MFEC มีผลกำไรดีอย่างต่อเนื่องถูกจัดเป็นหุ้นเด่นจ่ายปันผลเฉลี่ย 7.81% สูงสุดในกลุ่มสื่อสาร"นายศิริวัฒน์ กล่าว
นายศิริวัฒน์ กล่าวอีกว่า จากผลงานการบริหารงานอย่างมืออาชีพ ทำให้ได้รับเชิญเข้าไปเป็นกรรมการใน บมจ.อควาคอร์เปอร์เรชั่น (AQUA) และได้มีการปรับโครงสร้างทางธุรกิจจนเป็นธุรกิจที่มีผลกำไรและสามารถปันผลได้ในปีที่เข้าไปบริหารมาจนปัจจุบัน ซึ่งเป็นการถือหุ้นเพื่อลงทุนระยะยาว