ทั้งนี้ บลจ.เมย์แบงก์ฯ มีมุมมองต่อการลงทุนในปีนี้ว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกยังมีความผันผวนค่อนข้างมาก จากปัจจัยสำคัญคือราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงไปรุนแรง และยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะไปหยุดที่เท่าใดในช่วงครึ่งปีแรก แม้ว่าในช่วงเดือน มิ.ย.นี้อาจจะได้เห็นทิศทางของราคาน้ำมันจากการประชุมกลุ่มโอเปค แต่ขณะนี้ก็มีเทคโนโลยีใหม่ ๆ และพลังงานทางเลือกหลากหลายรูปแบบที่เข้ามาช่วยลดความจำเป็นของการใช้น้ำมันลง
ส่วนตลาดหุ้นไทยในขณะนี้ขับเคลื่อนด้วยปัจจัยหลักสำคัญเพียงเรื่องเดียว คือการใช้จ่ายของภาครัฐที่หวังว่าจะเข้ามากระตุ้นให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ดี รวมไปถึงการใช้จ่ายและลงทุนของภาคเอกชนได้ แต่ขณะนี้การใช้จ่ายงบประมาณยังมีความล่าช้าจากขั้นตอนต่างๆ ของทางราชการ ทำให้ยังเกิดความไม่แน่นอนค่อนข้างมาก จึงต้องติดตามปัจจัยนี้อย่างใกล้ชิด
"ปีนี้ถ้าเศรษฐกิจของเรายังไปไม่ได้ดีอยู่ หลังจาก 1-2 ปีก่อนฐานปรับลงไปต่ำขยายตัวเฉลี่ยได้แค่ปีละ 2% ก็อาจจะทำให้ปี 59 เป็นปีเผาจริง"นายตรีพล กล่าว
นายตรีพล กล่าวแนะนำให้นักลงทุนกระจายความเสี่ยงการลงทุนไปในตลาดต่างประเทศ รวมทั้งในหบายกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดี โดยเฉพาะตลาดประเทศเกิดใหม่(emerging market) รวมถึงกลุ่มประเทศเอเชียเหนือ ซึ่งได้แก่ จีน ญี่ปุ่น และเกาหลี เพราะมองว่าผลประกอบการของบริษัทต่าง ๆ จะออกมาดีกว่าคาดการณ์ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกก่อนหน้านี้ชะลอตัว ทำให้นักวิเคราะห์หลายแห่งปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการของบริษัทต่างๆ ลง แต่ได้รับผลดีจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงไปมาก ขณะที่ราคาน้ำมันที่ลดลงมากส่งผลดีต่อต้นทุนของภาคธุรกิจส่วนใหญ่
ขณะที่ตลาดสหรัฐฯราคาปรับตัวลดลงมาค่อนข้างมาก ทำให้มีความน่าสนใจเพิ่มขึ้น ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรป เชื่อว่าผลประกอบการไตรมาส 1/58 จะออกมาดี เนื่องจากสหภาพยุโรป เป็นผู้ส่งออกสินค้าสำคัญหลายๆด้านที่ตลาดยังมีความต้องการ ทั้งเครื่องจักรของเยอรมัน และสินค้าแบรนด์เนม รวมไปถึงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่เชื่อว่าจะดีขึ้น ซึ่งจะเป็นตัวช่วยหนุนตลาดได้ค่อนข้างมาก
"ในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวนค่อนข้างมาก เราแนะนำว่าหากเป็นแบบนี้ต้งมีการกระจายความเสี่ยงการลงทุนไปยังทุกกลุ่มอุตสาหกรรม และหลากหลายประเทศ ซึ่งประเทศที่เรายังมองว่ามีความน่าสนใจคือกลุ่มประเทศเกิดใหม่ที่เรามองว่าผลประกอบการที่อาจจะออกมาดีกว่าที่คาดไว้"นายตรีพล กล่าว