"เรายังเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าที่เป็น Real Demand และต้องการความคุ้มค่าในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้บริษัทมีการเจริญเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง"นายไชยยันต์ กล่าว
ปัจจุบัน บริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) อยู่ที่ 500 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้รายได้ปีนี้ทั้งหมด ส่วนงบซื้อที่ดินในปีนี้บริษัทตั้งงบไว้ที่ 800-900 ล้านบาท โดยจะนำไปซื้อที่ดินเพื่อรองรับการพัฒนาโครงการในอนาคตทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ซึ่งแผนการเปิดโครงการใหม่ในปีนี้จะแบ่งเป็นโครงการในกรุงเทพฯและปริณฑล รวมถึงในต่างจังหวัดอย่างละครึ่ง ขณะนี้มีที่ดินที่พร้อมพัฒนาแล้ว 5 ทำเล
สำหรับแนวโน้มภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตประมาณ 12% เป็นไปตามทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจไทย (GDP)ที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยบวกที่จะช่วยส่งเสริมการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์ สถานการณ์ทางการเมืองที่คาดว่าจะมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น ทำให้สามารถเดินหน้าโครงการลงทุนด้านต่างๆ ส่งผลให้เกิดความมั่นใจของผู้ประกอบการและผู้บริโภคให้ฟื้นตัวดีขึ้นตามลำดับ
ขณะที่อัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยนโยบายยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำ และการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) จะทำให้เกิดโอกาสการค้าและการลงทุนระหว่างภูมิภาค คาดว่าจะผลักดันให้เกิดการลงทุนในภาคเศรษฐกิจต่างๆ และอสังหาริมทรัพย์ดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยลบที่จะส่งผลกระทบต่อภาคอสังหาฯทั้งภาวะเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวเปราะบาง ราคาที่ดินที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ปัญหาหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง และสถาบันการเงินเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย
นายไชยยันต์ กล่าวว่า แม้จะมีปัจจัยบวกและลบหลากหลายปัจจัยเข้ามากระทบต่อตลาดอสังหาริทรัพย์ แต่ด้วยความที่บริษัทมีการวางแผนกระจายความเสี่ยงไว้ล่วงหน้า 2-3 ปี มีการบริหารงานและทีมงาน รวมทั้งควบคุมความเสี่ยง(Risk Management)ไว้แล้ว ประกอบกับ การวางแผนธุรกิจที่สอดรับกับสถานการณ์ ตลอดจนสามารถควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายได้ดี ทำให้บริษัทมีสภาพคล่องดีและอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนต่ำ ยังมีโอกาสขยายการลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดรับกับนโยบายการดำเนินธุรกิจของบริษัทให้มีการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
"การขยายธุรกิจของปีนี้จะขยายอย่างระมัดระวัง เน้นการสร้าง Innovation ทั้งในการดำเนินการจัดการภายในองค์กร และการนำเสนอสิ่งใหม่ๆให้กับลูกค้า สิ่งที่เรากังวลตอนนี้คงเป็นปัจจัยภายนอกในยุโรปที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและการส่งออกของยทย แต่เศรษฐกิจไทยเองก็รอการลงทุนภาครัฐที่จะช่วยขับเคลื่อนการลงทุนภาคเอกชนและการบริโภคของประชาชนในประเทศให้ขยายตัวได้"นายไชยยันต์ กล่าว
ส่วนผลประกอบการในปี 57 บริษัททำยอดขายได้ 2.8 พันล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 3.2 พันล้านบาท เนื่องจากได้รับผลกระทบจากความไม่สงบทางการเมืองในช่วงต้นปี ทำให้ภาพรวมทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นไม่ดี ส่งผลต่อกำลังซื้อของประชาชน ทำให้ยอดโครงการอสังหาริมทรัพย์ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
ด้านนายกร ธนพิพัฒนศิริ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายการเงินและบริหาร LALIN กล่าวว่า บริษัทเตรียมออกหุ้นกู้ชุดใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังเพื่อทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิมที่จะครบกำหนดในไตรมาส 3/57 มูลค่า 800 ล้านบาท คาดว่าจะเป็นการทยอยออกมาเสนอขายทีละชุด