ทั้งนี้ บริษัทได้วางแผนการดำเนินธุรกิจด้วยการขยายการพัฒนาโครงการสำหรับรองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด รวมถึงกลุ่มลูกค้าต่างชาติประมาณ 17-19 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 32,000 ล้านบาท โดยแบ่งประเภทการพัฒนาโครงการเป็นที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมประมาณ 9-10 โครงการ และโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ประมาณ 7-9 โครงการ
นอกจากนี้ ในช่วงครึ่งแรกบริษัทได้เตรียมเปิดตัวคอนโดมิเนียมโครงการแรกภายใต้ความร่วมมือกับบมจ. บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) มูลค่าโครงการประมาณ 5,000 ล้านบาท หลังจากที่ผ่านมาได้จัดตั้ง บริษัท บีทีเอส แสนสิริ โฮลดิ้ง วัน จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง SIRI และ BTS ในสัดส่วน 50 : 50 โดยมีทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 100 ล้านบาทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
และ จากความสำเร็จในการรุกขยายการพัฒนาโครงการในตลาดต่างจังหวัดอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา บริษัทยังได้เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ในจังหวัด พิษณุโลก ซึ่งนับเป็นการขยายสู่ทำเลภาคเหนือตอนล่างเพื่อตอบรับกลุ่มลูกค้าแสนสิริให้ครอบคลุมอีกด้วย
นายเศรษฐา กล่าวว่า บริษัทจะเดินหน้าตามแผนธุรกิจ Engineer for Growth อย่างต่อเนื่อง หลังจากแผนบางส่วนที่ได้ดำเนินการไปแล้วเริ่มเห็นผลสำเร็จอย่างรวดเร็วและชัดเจนจากอัตรากำไรในปีที่ผ่านมาที่เพิ่มสูงใกล้เคียงเป้าหมายที่ 12% และบริษัทยังได้เตรียมกลยุทธ์ที่จะรุกตลาดที่สามารถลดต้นทุนได้อย่างมาก ด้วยการรุกดิจิตอล มาร์เก็ตติ้ง หรือเน้นการใช้ Social Media ซึ่งสามารถเข้าถึงและดูแลกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างครอบคลุม
ขณะเดียวกันบริษัทยังต้องดำเนินการตามกลยุทธ์ที่สามารถชูให้ SIRI เหนือกว่าคู่แข่งมาโดยตลอด คือการบริการหลังการขายผ่านบริษัทลูก คือบริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัดที่ได้รับการยอมรับและเชื่อถือด้านการให้บริการและให้คำปรีกษาด้านอสังหาริมทรัพย์อย่างครบวงจรทั้งจากภาครัฐและเอกชนมากว่า 20 ปี ในการดำเนินธุรกิจด้านตัวแทนซื้อ-ขาย-เช่า อสังหาริมทรัพย์และบริหารงานขายโครงการ รวมถึงบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่พักอาศัยและบริหารจัดการทรัพยากรอาคาร ซึ่งในปีที่ผ่านมาก็มีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจ โดยปัจจุบัน พลัส พร็อพเพอร์ตี้ได้รับความไว้วางใจในการให้บริการทางด้านอสังหาริมทรัพย์มาแล้วเป็นจำนวนกว่า 180 โครงการ รวมพื้นที่กว่า 6.9 ล้านตารางเมตร
"เมื่อรวมกับแผนการดำเนินธุรกิจที่เน้นศักยภาพการเติบโตของบริษัทอย่างมั่นคงภายใต้แนวทางการดำเนินธุรกิจ “Engineer for Growth" หรือ EFG เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจและองค์กรในระยะยาวแล้ว จะส่งผลให้ในช่วง 3 ปีข้างหน้านับจากนี้บริษัทคาดว่าจะสามารถสร้างอัตรากำไรสุทธิได้ประมาณ 15%" นายเศรษฐา กล่าว
สำหรับทิศทางอสังหาริมทรัพย์ในปี 58 บริษัทเชื่อว่าการดำเนินธุรกิจจะมีทิศทางที่ดีอย่างมากจากปัจจัยหนุนหลายประการ อาทิ แน้วโน้มเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะขยายตัวเร่งขึ้นกว่าปี 57 ที่ 3.5 – 4.5% ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ โดยการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญที่จะช่วยกระตุ้นให้การผลิตในภาคเอกชนฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเรียกความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติให้กลับเข้ามาในประเทศได้อีกครั้ง รวมถึงราคาน้ำมันในตลาดโลกและในประเทศที่ลดลงอย่างต่อเนื่องที่จะส่งผลให้ประชาชนมีอำนาจในการซื้อสินค้าและบริการที่สูงขึ้น ผู้ประกอบการก็จะแบกรับต้นทุนที่ลดลงเช่นกัน
“สถานการณ์อสังหาริมทรัพย์จะได้รับผลที่ดีต่อเนื่องจากกำลังซื้อที่สูงขึ้นของอุปสงค์ และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐที่จะสนับสนุนให้การพัฒนาที่อยู่อาศัยขยายตัว อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจไทยในปี 58 ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน และนโยบายทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่สำคัญ ที่อาจส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกและการลงทุนของภาคเอกชนที่ยังคงต้องจับตาเช่นเดียวกัน" นายเศรษฐา กล่าว