ทั้งนี้ ก่อนจะควบรวมกิจการ BMCL จะทำการลดทุนจดทะเบียนด้วยการลดพาร์เพื่อล้างขาดทุนสะสมที่มีอยู่ 1.3 หมื่นล้านบาท ขณะเดียวกัน BECL จะขายหุ้น 10% ใน BMCL ให้กับ บมจ.ช.การช่าง(CK)ในราคาหุ้นละ 1.79 บาท คิดเป็นมูลค่ารวม 3.67 พันล้านบาท ซึ่งจะทำให้ BECL มีกำไรจากการขายหุ้นครั้งนี้ราว 1.33 พันล้านบาท
ขณะเดียวกัน CK ยังจะรับซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นของ BMCL และ BECL ที่คัดค้านการควบรวมกิจการครั้งนี้ โดยจะรับซื้อจากผู้ถือหุ้นของ BECL ที่คัดค้านไม่เกิน 8% และรับซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นของ BMCL ที่คัดค้านไม่เกิน 10%
การควบรวมกิจการดังกล่าว จะมีการจัดสรรหุ้นของบริษัทใหม่ให้แก่ผู้ถือหุ้นของทั้งสองบริษัทตามสัดส่วน โดย 1 หุ้นเดิมของ BMCL ต่อ 0.42050530 หุ้นในบริษัทใหม่ และ 1 หุ้นเดิมใน BECL ต่อ 8.65537841 หุ้นในบริษัทใหม่ ในการนี้เพื่อให้จำนวนหุ้นของบริษัทใหม่เป็นไปตามที่กำหนด ทาง CK จะรับเป็นผู้เกลี่ยหุ้นในการปัดเศษหุ้น และชำระเงิน หรือรับเงินชดเชยจากบริษัทใหม่ในการเกลี่ยหุ้นดังกล่าว ซึ่งจะทำให้จำนวนหุ้นที่เรียกชำระแล้วของบริษัทใหม่เท่ากับ 15,285,000,000 หุ้น
นอกจากนี้คณะกรรมการ BMCL ยังอนุมัติการจัดให้มีผู้ซื้อหุ้นของผู้ถือหุ้นที่คัดค้านการควบรวมกิจการและรับทราบการแสดงเจตจำนงของ CK ในการเป็นผู้ซื้อหุ้นของบริษัทจากผู้ที่คัดค้านการควบรวมกิจการตามหลักเกณฑ์ด้วย ทั้งนี้ ได้แต่งต้งบริษัท แกรนท์ ธอนตัน เซอร์วิสเซส จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ และแต่งตั้งบล.ฟินันซ่า เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
คณะกรรมการของ BMCL ยังได้อนุมัติลดทุนจดทะเบียนและทุนชำระแล้วของบริษัทเพื่อล้างขาดทุนสะสมก่อนการควบรวมกิจการ ซึ่งตามงบการเงินเฉพาะกิจการสิ้นสุด 30 ก.ย.57 มีผลขาดทุนสะสม 1.3 หมื่นล้านบาท โดยบริษัทจะลดทุนด้วยการลดพาร์ จากหุ้นละ 1 บาท เหลือหุ้นละ 0.37 บาท ซึ่งจะยังคงทำให้มีขาดทุนสะสมเหลืออยู่จำนวน 119.98 ล้านบาท
สำหรับวัตถุประสงค์ที่คาดว่าจะได้จากการควบรวมกิจการครั้งนี้ จะช่วยขยายและต่อยอดธุรกิจ เสริมสร้างศักยภาพของบริษัทใหม่ ผสานจุดแข็งของแต่ละบริษัท รวมถึงเพิ่มโอกาสการลงทุนทั้งในและนอกประเทศ ตลอดจนเสริมสร้างภาพลักษณ์ในมุมมองของนักลงทุน โดยคาดว่าบริษัทใหม่จะมีมูลค่ารวมของหลักทรัพย์ตามราคาตลาด(Market Capitalization) เพิ่มขึ้นเป็นอันดับที่ 35 ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วยมูลค่ากว่า 7.8 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ BMCL และ BECL จะจัดให้มีการประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าวในวันที่ 2 เม.ย. จากนั้นจะส่งหนังสือแจ้งต่อเจ้าหนี้ และเปิดโอกาสให้เจ้าหนี้คัดค้านการควบรวมเป็นเวลา 2 เดือน คาดว่าขั้นตอนดังกล่าวจะอยู่ในช่วงเดือนเม.ย.-มิ.ย.58 ขณะที่ภายใน 6 เดือนหลังจากผู้ถือหุ้นอนุมัติการควบรวมกิจการแล้วจะมีการประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาเรื่องต่างๆเกี่ยวข้องกับบริษัทใหม่ต่อไป เมื่อดำเนินการตั้งบริษัทใหม่เสร็จสิ้น ทั้ง BMCL และ BECL ก็จะสิ้นสภาพจากการเป็นนิติบุคคลต่อไป และหุ้นของบริษัทใหม่จะเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯแทน
ด้าน BECL แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวานนี้ ได้อนุมัติการควบรวมกิจการกับ BMCL ดังกล่าว พร้อมทั้งอนุมัติการขายหุ้น BMCL ที่ถืออยู่ทั้งหมด 10% ให้กับ CK ในอัตราหุ้นละ 1.79 บาท คิดเป็นมูลค่ารวม 3.67 พันล้านบาท เพื่อนำเงินทุนที่ได้ไปใช้เป็นส่วนหนึ่งของการลงทุนในโครงการทางสายพิเศษสายศรีรัช-วงแหวนรอบนอก กรุงเทพมหานคร ซึ่งอยู่ระเหว่างก่อสร้าง และการลงทุนต่างๆในอนาคต
CK จะชำระเงินค่าหุ้นให้กับ BECL เป็นแคชเชียร์เช็ค หรือโอนเงินผ่านระบบธนาคารในวันที่ซื้อขายหุ้นจำนวน 2 พันล้านบาท และจะชำระส่วนที่เหลือให้เสร็จภายในเดือนส.ค.60 ขณะที่ BECL จะมีกำไรจากการขายหุ้นดังกล่าวราว 1.33 พันล้านบาท ส่วน CK จะถือหุ้นใน BMCL เพิ่มเป็น 35.19% จากปัจจุบันที่ถือหุ้นอยู่ 25.19%
ด้าน CK แจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวานนี้ว่า ได้มีมติอนุมัติการสนับสนุนการควบรวมกิจการของ BMCL และ BECL ดังกล่าว และการรับเป็นผู้ซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นที่คัดค้าน รวมถึงการซื้อหุ้น BMCL จาก BECL ซึ่งคาดว่การทำรายการทั้งหมดจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 3/58