นางสาวเกษรา ธัญลักษณ์ กรรมการบริหาร SENA กล่าวว่า กลยุทธ์ของบริษัทฯ ในปีนี้จะเรียกว่า"กลยุทธ์ไฟนีออน"ด้วยคุณสมบัติเด่นของไฟนีออนที่จะส่องสว่างชัดเจน ก็แสดงให้เห็นว่าทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯจะเน้นไปที่ความชัดเจนทั้งในเรื่องของ Branding และ Segmentation รวมไปถึงบริการหลังการขาย 360 องศา
"ในช่วงไตรมาส 3 เราเตรียมปรับแบรนด์ SENA ให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นเพื่อเป็นหนึ่งในดวงใจของผู้บริโภคที่คิดจะซื้อบ้านหรือลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ อีกหนึ่งคุณสมบัติของไฟนีออน คือเรื่องของความพร้อมเปิด-ปิดได้อย่างรวดเร็ว คือเราเตรียมตัวพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างทันท่วงที”นางสาวเกษรา กล่าว
แผนการลงทุนในปีนี้จะมีการเปิดตัวโครงการมากที่สุดนับจากการก่อตั้งบริษัท และมีการขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ในระดับที่มีรายได้ประมาณ 100,000 บาท (กลุ่มลูกค้า B+) พร้อมลุยพัฒนาโครงการในเขตกรุงเทพฯฝั่งตะวันตกมากขึ้น รวมทั้งขยายการลงทุนไปสู่ธุรกิจ Recuring Income และทำโซลาร์รูฟท็อปในโครงการ เพื่อเพิ่มฐานที่มาของรายได้ ซึ่งจะทำให้ธุรกิจของบริษัทเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต
“เนื่องจากในปีนี้เปิด 11 โครงการ แบ่งเป็น โครงการแนวราบ 6 โครงการ และคอนโดมิเนียม 5 โครงการ มูลค่าสูงกว่า 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งเราได้มีการเตรียมแผนรองรับไว้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการออกหุ้นกู้ ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกของเสนาฯที่มีการระดมทุนผ่านการออกหุ้นกู้และเตรียมเพิ่มทุนในหลายรูปแบบ ผ่านตลาดทุน เพื่อคุมสัดส่วนหนี้สินต่อทุนไม่ให้ปรับตัวสูงมากนัก”นางสาวเกษรา กล่าว
นางสาวเกษรา กล่าวว่า อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 40% หรือใกล้เคียงกับปีก่อนที่ระดับ 41% เนื่องจากบริษัทมีแผนเปิดโครงการเพิ่มขึ้น ทำให้ยอดขายและรายได้เติบโตขึ้น อีกทั้งต้นทุนค่าวัสดุก่อสร้างยังทรงตัวไม่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แม้ว่าราคาที่ดินจะยังมีแนวโน้มที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ Backlog ของบริษัทในปัจจุบันอยู่ที่ 2 พันล้านบาท ทยอยรับรู้ฯไปจนถึงปี 59
ในปีนี้บริษัทมีแผนการซื้อที่ดินโดยเตรียมงบซื้อที่ดินไว้ที่ 1 พันล้านบาท สำหรับการซื้อที่ดินใหม่ และยังมีการวางแผนที่จะออกหุ้นกู้ระยะยาว 2-3 ปี มูลค่า 1,200 ล้านบาท ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 58 ขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมเอกสารเพื่อยื่นไฟลิ่งต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยบริษัทมีวัตถุประสงค์ในการออกหุ้นกู้เพื่อชำระตั๋วเงินกู้ระยะสั้นราว 50% ของมูลค่าหุ้นกู้ที่ออก และส่วนที่เหลือไว้ใช้สำหรับการซื้อที่ดินและการพัฒนาโครงการในอนาคต
สำหรับการจ่ายปันผลในปีนี้บริษัทมีแนวความคิดที่อาจจะจ่ายปันผลในรูปแบบหุ้นปันผล (stock dividend) ให้แก่ผู้ถือหุ้น เนื่องจากบริษัทมีความต้องการที่จะรักษาสภาพคล่องของบริษัทและควบคุมอัตราหนี้สินต่อทุน(D/E)ให้อยู่ในระดับไม่เกิน 1.5 เท่า จากปัจจุบันบริษัทมี D/E อยู่ที่ 1.4 เท่า อย่างไรก็ตาม การจ่ายปันผลในปีนี้บริษัทยังอยู่ระหว่างการพิจารณารูปแบบที่เหมาะสมอยู่
นางสาวเกษรา มองว่า แนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 58 คาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปีนี้ เนื่องจากได้รับปัจจัยหนุนจากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว หลังจากสถานการณ์การเมืองในประเทศเริ่มคลี่คลาย และรัฐบาลเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องผ่านการลงทุนในเมกะโปรเจค อีกทั้งแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะปรับตัวลดลงในปีนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยบวกที่ช่วยให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีหน้าเติบโตอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ในแง่ของปัจจัยลบที่น่าเป็นห่วงในปีนี้ จะเป็นเรื่องของหนี้สินครัวเรือนที่สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะกลุ่มคนรายได้น้อย ถึงรายได้ปานกลาง เป็นผลให้เกิดการชะลอการตัดสินใจซื้อหรือลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
นอกจากนี้ ราคาที่ดินที่ปรับตัวสูงและความไม่แน่นอนด้านนโยบายที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ถือเป็นอีกตัวแปรหนึ่งที่ส่งผลกระทบในเชิงลบกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
ส่วนในปี 57 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 2.8 พันล้านบาท โดยรายได้จากยอดโอนโครงการนั้นทำได้ 2.73 พันล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 2.5 พันล้านบาท บริษัทมีสัส่วนรายได้มาจากโครงการคอนโดมิเนียมกว่า 60% โครงการแนวราบ 30% และรายได้ค่าเช่า 8% ส่วนยอดขายทำได้ใกล้เคียงเป้าหมายที่ 3 พันล้านบาท