กองทุน ASP-THBOND เป็นกองทุนเปิดแบบไม่กำหนดอายุโครงการ มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้และเงินฝากในประเทศ มุ่งเน้นตราสารที่ผู้ออกตราสารมีความมั่นคง ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในระดับ Investment Grade มีสภาพคล่องสูงและมีปัจจัยพื้นฐานดี ซึ่งผู้ลงทุนสามารถซื้อได้ทุกวันทำการและขายคืนได้ทุกรอบ 6 เดือน ผลตอบแทนสำหรับผู้ลงทุนบุคคลธรรมดาไม่เสียภาษี
กองทุน ASP-THBOND มีแผนจะลงทุนในหุ้นกู้ภาคเอกชนในประเทศที่อยู่ในระดับ Investment Grade อายุเฉลี่ยของการลงทุนประมาณ 2-3 ปี ซึ่งบริษัทฯ เล็งเห็นว่าหุ้นกู้ประเภทดังกล่าวยังมี Credit Spread ที่ให้โอกาสรับผลตอบแทนดีได้ท่ามกลางสภาวะดอกเบี้ยต่ำเช่นปัจจุบัน โดยกองทุนจะใช้การบริหารจัดการกองทุนภายใต้กลยุทธ์การลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่ม หรือ Alpha Generation Strategy จึงเหมาะเป็นทางเลือกสำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ไม่มากนักแต่ต้องการโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินฝากหรือพันธบัตรรัฐบาลที่มีอายุตราสารใกล้เคียงกัน และสามารถถือหน่วยลงทุนได้ในระยะเวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือนเพื่อโอกาสรับผลตอบแทนตามกลยุทธ์การลงทุนของกองทุน
นายรัชต์ กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจทั่วโลกที่ชะลอตัวประกอบกับผลกระทบจากราคาน้ำมันยังเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันให้อัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยที่ยังอยู่ในระดับต่ำ โดยอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลไทยตั้งแต่ต้นปี 2558 ยังคงปรับตัวลดลงเฉลี่ย 6-29 bps จากเม็ดเงินต่างชาติที่ไหลเข้ามาเก็งกำไรจากการประกาศมาตรการ QE ของธนาคารกลางยุโรป
ขณะที่อัตราเงินเฟ้อของไทยในเดือนธันวาคมที่ผ่านมาอยู่ที่ระดับ 0.6% ถือเป็นระดับต่ำที่สุดในรอบ 62 เดือน ทั้งนี้ คาดว่าที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) รอบวันที่ 28 ม.ค. 2558 จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 2% ขณะที่ด้านธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เชื่อว่าจะชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายไปจนกว่าจะพ้นไตรมาส 2 ของปีนี้ และหากมีการปรับขึ้นจริงก็น่าจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปเพื่อรักษาเสถียรภาพของตลาดเงินทั้งระบบ เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศอื่นๆ ในภาพรวมยังอยู่ในภาวะชะลอตัว
ปัจจัยทั้งภายในประเทศและภายนอกประเทศยังไม่มีแรงส่งมากพอสำหรับการขึ้นอัตราดอกเบี้ย จึงเชื่อว่าจะส่งผลให้ดอกเบี้ยทั่วโลกอยู่ในระดับต่ำต่อไป จึงมองว่าทิศทางดอกเบี้ยทั่วโลกจะยังคงทรงตัวอยู่ในระดับต่ำต่อไปอีกระยะหนึ่ง
ส่วนการที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประกาศใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณผ่านการอัดฉีดเงินเข้าซื้อตราสารหนี้ทั้งภาครัฐและเอกชนในยุโรปเดือนละ 6 หมื่นล้านยูโรต่อเนื่องตั้งแต่เดือนมีนาคม 2558 – กันยายน 2559 ทำให้สภาพคล่องล้นตลาดและมีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดตราสารหนี้อีกจำนวนมาก ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ยังทรงตัวและอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาลทั้งในและต่างประเทศอยู่ในระดับที่ไม่จูงใจนัก
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มดอกเบี้ยต่ำข้างต้นถือเป็นโอกาสที่ภาคเอกชนจะเร่งระดมทุนผ่านการออกหุ้นกู้ ดังนั้น ผู้ลงทุนจึงอาจเลือกพิจารณาการลงทุนเพื่อเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนกับหุ้นกู้ในประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือดี ซึ่งเชื่อว่าจะให้โอกาสรับผลตอบแทนที่ดีกว่าพันธบัตรทั้งในและต่างประเทศ