บริษัทมีแผนขยายฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่องทั้งลูกค้าบุคคลและลูกค้าสถาบัน โดยตั้งเป้าจำนวนบัญชีลูกค้าใหม่เพิ่มอีก 2,400 บัญชีในปีนี้ จากปีก่อนอยู่ที่ 7,600 บัญชี ซึ่งน่าจะมีบัญชีที่เคลื่อนไหวสม่ำเสมอ(Active)ประมาณ 40% ขณะที่มีแผนขยายสาขาเพิ่มเติมเพื่อรองรับการบริการลูกค้าได้อย่างทั่วถึง โดยเตรียมขยายสาขาใหม่อีก 6 สาขา แบ่งเป็นในประเทศ 3 จังหวัด คือ ขอนแก่น นครราชสีมา และชลบุรี ส่วนางประเทศ น่าจะเห็นสาขาในอินโดนีเซีย ลาว และพม่า ซึ่งจะทำให้ AEC มีสาขารวมทั้งสิ้นอยู่ที่ 19 สาขา จากเดิม 13 สาขา โดยวางงบลงทุนรวม 10 ล้านบาท
"ปีนี้ตั้งเป้ามาร์เก็ตแชร์ที่ 4% ไม่น่ามีปัญหา เรามีความพร้อมที่จะเป็นโบรกเกอร์ที่เน้นเรื่องของการลงทุนเป็นหลัก และจะขยายธุรกิจเข้าไปในต่างประเทศอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งพันธมิตรทางธุรกิจก็มีการส่งเสริมด้านข้อมูลข่าวสารในการลงทุนมากขึ้น โดยเราจะเข้าไปทำทั้งที่ปรึกษาในรูปแบบการทำ M&A และ Investment Banking เพื่อผลักดันให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืนในอนาคต ขณะที่เราก็อยากจะพัฒนาการลงทุนให้กับคนรุ่นใหม่ ที่เราก็จะเข้าไปแนะนำการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศควบคู่กันไป เพื่อส่งเสริมการลงทุนอย่างยั่งยืน"นายประพล กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้ปีนี้จะเติบโตมากกว่า 50% หรือทำรายได้แตะ 1,000 ล้านบาท โดยจะมีสัดส่วนรายได้จากงานด้านวาณิชธนกิจในประเทศ 30% ธุรกิจโบกเกอร์ต่างประเทศ 40% และธุรกิจโบรกเกอร์ในประเทศ 30% จากเดิมที่มีสัดส่วนรายได้เพียงธุรกิจโบรกเกอร์ในประเทศ 60% และธุรกิจวาณิชธนกิจ 40% ขณะที่กำไรน่าจะเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน เนื่องด้วยปี 57 บริษัทสามารถพลิกมามีกำไร หลังจากในช่วงครึ่งปีหลังตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวดีขึ้น
นายเกรียงไกร ทำนุทัศน์ นักวิเคราะห์กลยุทธ์อาวุโส บล.เออีซี (AEC) ประเมินแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทย(SET Index)ในปี 58 ที่ระดับ 1,680 จุด โดยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทยคาดว่าจะขยายตัวได้ 13% จากปี 57 ที่ขยายตัวเพียง 1% และอัตราผลตอบแทนในการลงทุนในตลาดหุ้นปีนี้ที่ระดับ 15.2% มาจากผลตอบแทนของระดับการปรับขึ้นของดัชนีที่ระดับ 12% และอัตราเงินปันผลระดับ 3% ส่วนระดับความผันผวนของตลาดหุ้นไทยในระยะ 12 เดือนข้างหน้าจะอยู่ที่ระดับ 12%
กลุ่มอุตสาหกรรมที่โดดเด่นในปีนี้ ได้แก่ กลุ่มขนส่ง เช่น สายการบิน, กลุ่มบันเทิงและสื่อสิ่งพิมพ์, กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น แนะลงทุนในหุ้นที่ให้ผลตอบแทนดี จากผลการดำเนินงานที่เติบโต มีส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้น โดยให้ขยายระยะเวลาการถือครองหุ้นในช่วงสั้น หรือ 1 เดือน ส่วนหุ้นเด่นในกลุ่ม Big Cap ได้แก่ ADVANC, BH, BGH และหุ้นเด่น Mid to Small Cap สำหรับไตรมาส 1/58 ได้แก่ TRUE, RS, MONO, ANAN, UNQ, BKD, CBG, S, SINGER, TPIPL