นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCC คาดการณ์ยอดขายปี 58 ที่กว่า 4.9 แสนล้านบาท ใกล้เคียงจาก 4.87 แสนล้านบาทในปี 57 แม้มองว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้น่าจะเติบโตได้ระดับ 4% สูงกว่าหลายฝ่ายที่คาดว่าจะเติบโตกว่า 3% เนื่องจากคาดว่าผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี ซึ่งคิดเป็นราว 50% ของยอดขายรวมนั้นจะมีราคาลดลงมากตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ดิ่งลงอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม การที่ราคาน้ำมันปรับตัวลดลง อีกด้านหนึ่งก็ทำให้ราคาแนฟทา ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญของปิโตรเคมีปรับลดลงด้วย ส่งผลให้สเปรดผลิตภัณฑ์หลักอย่าง HPDE กับแนฟทาในปีนี้จะสูงขึ้นมาอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ย 700 เหรียญ/ตัน จาก 682 เหรียญ/ตันในปีที่แล้ว รวมถึงการที่มีปริมาณขายเพิ่มขึ้นทั้งในส่วนของธุรกิจปิโตรเคมี ซิเมนต์ และกระดาษ ตลอดจนตลาดอาเซียนที่ขยายตัวสูงขึ้นจะข่วยหนุนกำไรได้
"กำไรปีนี้มีแนวโน้มดีขึ้น มาร์จิ้นอยู่ในเกณฑ์ 700 เหรียญฯถือว่าดีมาก"นายกานต์ กล่าว
อนึ่ง SCC แถลงผลประกอบการในปี 57 มีกำไรสุทธิ 3.36 หมื่นล้านบาท ลดลง 8% จากปีก่อนหน้า แต่มียอดขายเพิ่มขึ้น 12% มาที่ 4.87 แสนล้านบาท
นายกานต์ มองว่า สเปรดผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่ดีขึ้นจะช่วยชดเชยผลขาดทุนจากสต็อกผลิตภัณฑ์ที่อาจเกิดขึ้นตามราคาน้ำมันที่ลดลงได้ โดยราคาน้ำมันที่ลดลงทุก 10 เหรียญ/บาร์เรล จะทำให้บริษัทมีผลขาดทุนจากสต็อกราว 700 ล้านบาท และคาดว่าในไตรมาส 1/58 บริษัทอาจต้องบันทึกขาดทุนจากสต็อกกว่า 1 พันล้านบาท หากราคาน้ำมันในเดือน มี.ค. อยู่ในเกณฑ์ 47-48 เหรียญ/บาร์เรล อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ปรับแผนลดสต็อกผลิตภัณฑ์ลงเหลือระดับ 10-11 วัน จากเดิมที่เคยสต็อกไว้ถึงราว 3 สัปดาห์
สำหรับธุรกิจซิเมนต์ปีนี้คาดว่าความต้องการใช้ในประเทศจะเติบโต 6% จากที่หดตัว 1% ในปีที่แล้ว โดยความต้องการใช้ปูนในปีที่แล้วอยู่ที่เกือบ 40 ล้านตัน ซึ่งประเมินว่าปริมาณการใช้ปูนปีนี้น่าจะทำระดับสูงสุดใหม่บนความคาดหวังจากโครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ ที่จะมีผลผลักดันให้ภาคเอกชนลงทุนตามมาด้วย โดยเริ่มเห็นสัญญาณการเติบโตการใช้ปูนจากภาครัฐตังแต่ช่วงเดือน ธ.ค.57 และคาดว่าจะเติบโตชัดเจนจึ้นอีกในช่วงครึ่งปีหลัง
ปัจจุบัน บริษัทเดินเครื่องผลิตปูนเต็มที่ ซึ่งในปีที่แล้วมีการส่งออก 4.4 ล้านตัน แต่คาดว่าปีนี้จะส่งออกลดลงเหลือ 4 ล้านตัน เนื่องจากความต้องการใช้ในประเทศเพิ่มขึ้น ประกอบกับปีนี้จะมีผลผลิตเพิ่มจากโรงปูนซิเมนต์ในกัมพูชาและอินโดนีเซีย โดยโรงปูนแห่งที่ 2 ในกัมพูชาขนาดกำลังผลิต 9 แสนตัน/ปีจะเริ่มผลิตกลางปีนี้ ส่วนโรงปูนขนาด 1.8 ล้านตัน/ปีในอินโดนีเซียจะเริ่มผลิตช่วงครึ่งหลังของปีนี้
ด้านความคืบหน้าการก่อสร้างโรงปูนในเมียนมาร์และลาว คาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในปี 59 และ 60
นายกานต์ กล่าวอีกว่า เครือ SCC คาดว่าจะใช้เงินลงทุนในปีนี้มากกว่า 5 หมื่นล้านบาท สูงกว่า 4.52 หมื่นล้านบาทในปีก่อน ตามแผนการขยายงานในอาเซียน และมองโอกาสการซื้อกิจการและร่วมลงทุน(M&A)ในปีนี้มีมากขึ้น จากความพร้อมทางด้านการเงินและกำลังคนของบริษัท ซึ่งปัจจุบันมีการเจรจาอยู่หลายรายส่วนใหญ่เป็นกิจการในอาเซียน โดยงบลงทุนดังกล่าวจะรวมถึงงบด้านวิจัยและพัฒนาที่ตั้งไว้ราว 4.8 พันล้านบาท จากที่ใช้ไปกว่า 2.7 พันล้านบาทในปี 57
ส่วนความคืบหน้าโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในเวียดนาม คาดว่าจะสรุปงบลงทุนและแผนทางการเงินได้ในอีก 4-5 เดือนข้างหน้า จากเดิมที่คาดว่าโครงการนี้จะใช้เงินลงทุน ราว 4.5 พันล้านเหรียญ
นายกานต์ กล่าวว่า เครือ SCC มองว่าตลาดอาเซียนยังมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก ขณะที่เศรษฐกิจในยุโรปคาดว่าจะทรงตัวและเศรษฐกิจสหรัฐอาจฟื้นตัวได้บ้าง โดยปีที่แล้ว SCC มีรายได้จากฐานการผลิตในอาเซียนและจากการส่งออกไปยังตลาดอาเซียนราว 1 แสนล้านบาท คิดเป็น 21% ของรายได้รวม ขณะที่มีสินทรัพย์รวมในอาเซียนนอกเหนือจากไทย ณ สิ้นปีที่แล้วราว 8.49 หมื่นล้านบาท หรือ 18% ของสินทรัพย์รวม