โบรกฯแนะ"ซื้อ"PTT มองน้ำมันดิ่งกระทบแค่ช่วงสั้น ปัจจัยบวกรอเพียบ

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday January 29, 2015 09:56 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกฯส่วนใหญ่ยังแนะ"ซื้อ"หุ้น บมจ.ปตท.(PTT)แม้ระยะสั้นจะถูกกดดันจากปัจจัยราคาน้ำมันดิบที่ลดลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง แต่มอง downside จำกัดแล้ว เชื่อราคาน้ำมันดิบฟื้นตัวช่วงครึ่งหลังของปี คงไม่ต้องรับผลกระทบจากการขาดทุนสต็อกน้ำมันมากเหมือนปีก่อน และจะส่งผลดีต่อผลประกอบการของ PTT รวมถึงบริษัทลูกในกลุ่มธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันในปีนี้ด้วย

ขณะที่การปรับโครงสร้างราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว(LPG) ส่งผลให้ราคาหน้าโรงแยกก๊าซปรับขึ้น รวมถึงการจะทยอยขึ้นราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์(NGV)ให้สะท้อนต้นทุนแท้จริงจะส่งผลบวกต่อผลการดำเนินงานในระยะยาว

นอกจากนี้ PTT ยังมีปัจจัยบวกที่รออยู่ในปีนี้จากการปรับโครงสร้างบริษัทลูก ทั้งการขายหุ้น 27.22% ในบมจ.บางจากปิโตรเลียม(BCP) และการนำหุ้นบริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด(SPRC) และบมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่(GPSC)เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

แต่ราคาหุ้นของ PTT ไม่ได้สะท้อนปัจจัยบวกที่จะเกิดขึ้นในปีนี้มากนัก โดยนับแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 21 ม.ค.ราคาหุ้น PTT ปรับขึ้นเพียง 1.85% มาที่ 330 บาท เมื่อเทียบกับดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้น 2.65%

          โบรกเกอร์                  คำแนะนำ            ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น)
        บล.เคเคเทรด                    ซื้อ                  385
        บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็งฯ              ซื้อ                  397
        บล.เอเซีย พลัส                   ซื้อ                  394
        บล.ทิสโก้                        ซื้อ                  333
        บล.ทรีนีตี้                        ซื้อ                  398

นายปริญทร์ กิจจาทรพิทักษ์ ผู้อำนายการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคจีไอ(ประเทศไทย)กล่าวว่า ระยะสั้นราคาหุ้นของ PTT ยังถูกกดดันจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ร่วงลงอย่างชัดเจนในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา จากความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลกที่กระทบต่อความต้องการใช้น้ำมันน้อยลง ขณะที่อุปทานน้ำมันในตลาดยังคงอยู่ระดับสูง

ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลงมากว่าครึ่งเมื่อเทียบกับช่วงกลางปีที่แล้ว จนมาอยู่ในช่วง 40-50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในขณะนี้ แม้จะทำให้ธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันของกลุ่ม PTT และธุรกิจน้ำมันของ PTT เองได้รับผลกระทบจากการขาดทุนสต็อกน้ำมันจำนวนมากในปีที่ผ่านมา แต่ก็เชื่อว่าระดับราคาน้ำมันในปัจจุบันน่าจะเริ่มทรงตัว และมีโอกาสฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ที่มองว่าเศรษฐกิจโลกจะดีขึ้น และผู้ผลิตน้ำมันที่มีต้นทุนสูงก็จะออกจากตลาด ทำให้อุปทานน้ำมันลดลงบ้าง

“overall ในแง่ของ fundamental outlook ในปีนี้ น่าจะเริ่มดูดีขั้น การที่จะถูกผลกระทบแรงๆเหมือนปลายปีที่แล้วจาก stock loss น่าจะหมดแล้ว...ถ้าเศรษฐกิจโลกพลิกฟื้นดีขึ้น ก็จะเป็นตัวหนุนราคา commodity ปีนี้ยังมีปัจจัยบวกจากการปรับราคา LPG และ NGV ที่จะเกิดขึ้นด้วย"นายปริญทร์ กล่าว

เมื่อต้นปีคณะคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน(กบง.)ปรับโครงสร้างราคา LPG ให้สะท้อนต้นทุนแท้จริงมีผล 2 ก.พ.กำหนดราคาตั้งต้นของก๊าซ LPG ของผู้ใช้ทุกกลุ่ม ทั้งภาคครัวเรือน ขนส่ง อุตสาหกรรม และปิโตรเคมี ให้เป็นราคาเดียวกันด้วยวิธีเฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนัก(LPG Pool)ซึ่งการคำนวณล่าสุดราคา LPG เฉลี่ยอยู่ที่ 488 เหรียญสหรัฐ/ตัน ขณะที่เมื่อแยกการพิจารณาจะพบว่าราคา LPG หน้าโรงแยกก๊าซฯของ PTT จะเพิ่มขึ้นเป็น 498 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากราคาเดิมที่ 333 เหรียญสหรัฐ/ตัน

ขณะที่นายณรงค์ชัย อัครเศรณี รมว.พลังงาน ยืนยันว่าในปีนี้จะทยอยปรับขึ้นราคา NGV ให้สะท้อนต้นทุนแท้จริง ในกรอบเป้าหมายเดิมที่ 16 บาท/กิโลกรัม จากปัจจุบันอยู่ที่ 12.50 บาท/กิโลกรัม ซึ่งกรณีดังกล่าวจะลดภาระขาดทุนจากธุรกิจ NGV ของ PTT ได้ จากปัจจุบันที่ขาดทุนจาก NGV เกือบ 2 หมื่นล้านบาท/ปี

ด้านนางสาวนลินรัตน์ กิตติกำพลรัตน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.เอเชีย พลัส เห็นในทิศทางเดียวกันว่าหุ้น PTT ยังคงถูกกดดันจากการลดลงของราคาน้ำมันเป็นหลัก ขณะที่การจะปรับขึ้นราคา LPG และ NGV นั้นตลาดรับรู้ไประดับหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการโดยรวมของ PTT ในปีนี้ประเมินว่าจะปรับตัวสูงขึ้นจากปีที่แล้ว ที่ได้รับผลกระทบจากการตั้งสำรองการด้อยค่าของสินทรัพย์ ในโครงการมอนทารา และออยล์แซนด์ ของบมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม(PTTEP) ราว 3.5 หมื่นล้านบาท จนคาดว่าจะทำให้ผลประกอบการไตรมาส 4/57 ของ PTTEP พลิกเป็นขาดทุนสุทธิ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของ PTT รวมถึงยังจะรับรู้ผลประกอบการที่ย่ำแย่ของกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันด้วย

เบื้องต้นประเมินว่าผลประกอบการของ PTT ในปีนี้จะอยู่ที่ราว 1 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน เป็นผลจากคาดการณ์ว่าปีนี้บริษัทจะไม่มีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันเหมือนปีก่อน และพลิกมีกำไรจากธุรกิจของ LPG และขาดทุนจากธุรกิจ NGV ลดลง

ขณะที่บทวิเคราะห์ของบล.เคเคเทรด ระบุว่า ปัจจัยบวกจากกรณีการปรับราคา LPG และ NGV มีมากกว่า downside ของราคาน้ำมันที่เกิดขึ้น แม้จะพิจารณาปรับลดสมมติฐานราคาน้ำมันดิบลงจาก 65 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เหลือ 60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งจะทำให้กำไรสุทธิของ PTT ในปี 58 เพิ่มขึ้น 2% แต่ในระยะยาวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 12% ต่อปี

นอกจากนี้ยังเห็นว่า PTT จะมี upside จากการปรับราคา NGV เพิ่มขึ้นในอนาคตเพื่อให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง จากระดับ 12.50 บาท/กิโลกรัมในขณะนี้ โดยเชื่อว่าหากปรับเพิ่ม 1 บาท/กิโลกรัมทุกๆ 6 เดือน จนถึงต้นทุนที่แท้จริง จะทำให้ PTT มีกำไรสุทธิในปี 58 เพิ่มขึ้น 4.4 พันล้านบาท และในปี 59 เป็นต้นไป เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปี 9.6 พันล้านบาท และเพิ่มมูลค่าเหมาะสมอีก 21 บาท รวมกับมูลค่าเหมาะสมจากกรณีปรับราคา LPG หน้าโรงแยกก๊าซฯซึ่งกบง.อนุมัติไปก่อนหน้านี้ อีก 24 บาท

ขณะเดียวกันปีนี้ PTT ยังมีแผนจะขายหุ้นที่ถืออยู่ทั้งหมด 27.22% ใน BCP คาดว่าจะข้อสรุปเร็วๆนี้ รวมทั้งลดสัดส่วนการถือหุ้นในโรงกลั่น SPRC ที่ถืออยู่ 36% ด้วยการนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ รวมถึงมีแผนนำธุรกิจผลิตไฟฟ้า ของ GPSC เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในไตรมาส 2-ไตรมาส 3 ปีนี้

นายปริญทร์ จากเคจีไอฯ ประเมินว่าหาก PTT สามารถดำเนินการปรับโครงสร้างธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันได้ตามแผนดังกล่าว และสามารถกระจายหุ้น GPSC เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯได้ ก็จะทำให้ PTT รับรู้กำไรจากการปรับโครงสร้างธุรกิจดังกล่าวได้ และผลักดันให้กำไรเติบโตได้อย่างโดดเด่นในปีนี้ด้วย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ