ณ สิ้นปี 57 บริษัทมีงานในมือ(backlog)ราว 1.04 แสนล้านบาท และคาดว่าในปีนี้บริษัทจะได้งานใหม่เข้ามาราว 25% ของมูลค่าโครงการภาครัฐที่เปิดประมูลไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท
ขณะที่การปรับโครงสร้างการลงทุนที่สำคัญในปีนี้คือการควบรวม บมจ.ทางด่วนกรุงเทพ (BECL) และบมจ.รถไฟฟ้ากรุงเทพ (BMCL) รวมถึงการขายหุ้นบริษัทไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัด(XPCL) ให้แก่ บมจ.ซีเค พาวเวอร์(CKP) ถือเป็นก้าวสำคัญในการเสริมความแข็งแกร่งและศักยภาพของบริษัท โดยเฉพาะการขายหุ้น XPCL ในสัดส่วน 30% มูลค่า 4,344 ล้านบาทนั้น บริษัทจะบันทึกกำไรราว 1.5 พันล้านบาทในไตรมาส 2/58
นายปลิว กล่าวว่า การขายหุ้น XPCL ให้ CKP เป็นความตั้งใจแต่แรกอยู่แล้ว แต่ช่วงที่ผ่านมาเพิ่งเริ่มงานก่อสร้างทำให้มีความเสี่ยงสูง ต่อมาเมื่อเร็วๆนี้งานก่อสร้างโครงการไซยะบุรีพ้นจุดวิกฤตแล้วจึงเห็นเป็นช่วงจังหวะที่เหมาะสม เพราะหากรอให้โครงการก่อสร้างเสร็จ ราคาขายก็จะสูงเกินไป ขณะเดียวกัน CK ก็ไม่ต้องแบกรับภาระการลงทุนในโครงการนี้
"CK เราต้องการให้ CKP เป็น Flagship ด้านพลังงาน CKP ต้องมีไซยะบุรีที่เป็นหัวใจธุรกิจ"นายพงษ์สฤษดิ์ ตันติสุวณิชย์กุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพัฒนาธุรกิจ CK กล่าว
ด้านนายประเสริฐ มริตตะพร กรรมการและรองผู้จัดการอาวุโส กลุ่มงานบริหาร CK กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทคาดว่าจะใข้งบลงทุนราว 2 พันล้านาบทโดยส่วนหนึ่งจะเข้าลงทุนในส่วนทุนของบริษัทใหม่ภายหลังการควบรวมของ BECL-BMCL ในเดือน พ.ค.นี้และนำเงินไปซื้อหุ้นเพิ่มทุน CKP ซึ่งบริษัทเตรียมออกหุ้นกู้มูลค่า 4 พันล้านบาท อายุ 5 ปี 11 เดือนเพื่อชำระคืนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอนและส่วหนึ่งนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
นอกจากนั้น จากการควบรวมกิจการ BECL และ BMCL บริษัทได้เตรียมเงินประมาณ 1 หมื่นล้านบาทดเพื่อรองรับการซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นทั้งสองบริษัทที่อาจคัดค้านการควบรวมกิจการ โดยแหล่งเงินจะมาจากกระแสเงินสดและสินเชื่อจากธนาคาร
นายพงษ์สฤษดิ์ กล่าวว่า การควบรวมครั้งนี้จะทำให้ CK เข้าไปถือหุ้นในบริษัทใหม่ 30% ขณะที่มีพันธมิตรในประเทศหลายแห่งแสดงความสนใจเข้าถือหุ้นครั้งนี้ด้วย และภายหลังควบรวมกันแล้วจะทำให้ลดภาระการลงทุนและการสนับสนุนจากบริษัทแม่ และสามารถบันทึกกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทใหม่ รวมทั้งรับผลตอบแทนการลงทุนที่ดีทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
ทั้งนี้ จากการปรับโครงสร้างธุรกิจจะทำให้ CK มีรายได้จาก 2 ทาง โดยรายได้หลักมาจากงานก่อสร้างและบริหารโครงการ สัดส่วนราว 90% อีกส่วนจะมาจากเงินปันผลและกำไรจากการลงทุน ซึ่ง CK จะลงทุนบริษัทใหม่ที่ดำเนินธุรกิจทางด่วนและรถไฟฟ้าที่คาดว่าควบรวมแล้วเสร็จในเดือน ก.ค.นี้ ขณะที่ถือหุ้นใน CKP ราว 29.87% และถือหุ้นใน บมจ.ทีทีดับบลิว(TTW) ราว 19.04%