นายอมร กกล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาแผนจัดหาเงินทุนเพื่อใช้ในการขยายธุรกิจ เพื่อสร้างรายได้เสริมธุรกิจหลักเดิม คือ ธุรกิจจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้า ทั้งการเพิ่มทุนขายให้กับนักลงทุนเฉพาะเจาะจง(PP) , การออกหุ้นเพิ่มทุนขายให้ผู้หุ้นเดิม(RO) รวมถึงการกู้เงินจากธนาคาร คาดว่าจะสรุปได้ในช่วงครึ่งแรกปี 58 เนื่องจากบริษัทคาดว่าจะมีการจัดตั้งบริษัทลูกขึ้นมาราว 5 บริษัท ซึ่งประเมินเบื้องต้นว่าจะใช้งบลงทุนบริษัทละไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านบาทในแต่ละธุรกิจ
อนึ่ง เมื่อเดือน พ.ย.57 AJD มีแผนเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้ PP จำนวน 1,500 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 0.10 บาท ซึ่งเข้าข่ายเป็นการเสนอขายหุ้นในราคาต่ำ (ต่ำกว่าราคาตลาด 97.48%) แต่ภายหลังถูกยกเลิกไป เหลือเพียงการแจกวอร์แรนต์ให้กับผู้ถือหุ้นเดิม 750 ล้านหน่วย ในอัตราส่วนการจัดสรร 4 หุ้นดิม ต่อ 1 หน่วยวอร์แรนต์
นายอมร กล่าวว่า บริษัทแรกที่จัดตั้งขึ้นร่วมกับพันธมิตร คือ แฮปปี้ วิชั่น AJD เข้าถือหุ้นในสัดส่วน 51% เพื่อผลิตรายการโทรทัศน์ ละคร และภาพยนตร์ คาดว่าจะทำกำไรสุทธิราว 200 ล้านบาทในปีนี้ โดยปัจจุบันมีสัญญาผลิตละครให้กับสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 แล้ว 4 เรื่อง พร้อมทั้งเตรียมผลิตรายการวาไรตี้ 5 รายการ และละครอีก 6 เรื่องให้กับสถานีโทรทัศน์ช่องอื่นๆอีก
นอกจากนั้น บริษัทร่วมทุนดังกล่าวยังอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรในจีนเพื่อผลิตภาพยนตร์ไปฉายในประเทศจีน โดยขณะนี้กำลังหารือกันถึงเรื่องบทภาพยนตร์ และอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อลิขสิทธิ์ละครไทยไปขายในจีนอีกด้วย คาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในไตรมาส 1/58
บริษัทยังมีความสนใจที่จะลงทุนในธุรกิจพลังงานทดแทนทั้งในประเทศไทยและประเทศจีน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรในประเทศจีนเพื่อร่วมกันทำธุรกิจผลิตไฟฟ้าด้วยพลังแสงอาทิตย์(โซลาร์ฟาร์ม)
"เรามีความสนใจในทุกธุรกิจที่จะสามารถสร้างผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นได้ ซึ่งเราก็มองเห็นว่าการผลิตการลงทุนด้านการผลิตพลังงานไฟฟ้าจะให้ผลตอบแทนที่ดีทั้งในปัจจุบันและอนาคตด้วย ซึ่งปัจจุบันเราก็อยู่ระหว่างคุยกับผู้ที่มีใบอนุญาตอยู่ และในช่วงที่ผ่านมาเราได้ไปดูงานที่ประเทศจีน ซึ่งปัจจุบันประเทศจีนก็เริ่มสนับสนุนการใช้พลังงานทดแทนมากขึ้นด้วย" นายอมร กล่าว
อย่างไรก็ตาม บริษัทก็จะยังคงขยายธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เป็นธุรกิจหลักเดิมไปพร้อมกันด้วย โดยจะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ออกมาวางจำหน่ายเพิ่มขึ้น เพื่อผลักดันยอดขายให้เติบโตขึ้น รวมทั้งเดินหน้าเพิ่มยอดขายกล่องรับสัญญาณทีวีดิจิตอล(Set top box) ซึ่งตั้งเป้าจะมีส่วนแบงตลาดราว 20% หรือราว 4 ล้านกล่อง จากที่คาดว่าภาครัฐจะแจกคูปองแลกซื้อกล่องฯ ราว 19 ล้านใบ
"ถึงแม้ว่าเราจะบุกในธุรกิจใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง แต่เราก็จะยังไม่ทิ้งธุรกิจเดิมของเรา โดยในปีนี้เราก็ยังมีแผนที่จะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อที่จะเข้ามาเพิ่มยอดขาย และปีนี้เราก็คิดว่าอากาศคงจะร้อนขึ้นความต้องการเครื่องปรับอากาศเคลื่อนที่ก็จะมากขึ้น เราจึงได้เตรียมของไว้เพื่อรองรับความต้องการที่มากในปีนี้ จากปีที่ผ่านมาเราเตรียมของไว้น้อยและไม่พอต่อความต้องการของลูกค้าของเรา"นายอมร กล่าว
นายอมร กล่าวว่า บริษัทคาดว่าผลงานในปีนี้จะเติบโตจากปีก่อนเป็นเท่าตัวทั้งรายได้รวมและกำไรสุทธิ โดยนอกจากจะมียอดขายกล่อง Set top box แล้ว คาดว่าจะทำรายได้จากธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าราว 1 พันล้านบาท ขณะที่ธุรกิจใหม่ก็น่าจะเริ่มสร้างรายได้เข้ามาด้วย ส่วนผลงานในปี 57 ที่ผ่านมา มั่นใจว่าจะยังมีกำไร แม้ว่า 9 เดือนจะมีผลขาดทุน และยอดขาย Set top box พลาดเป้าหมายจากผลกระทบความล่าช้าของการแจกคูปอง
"ปีนี้เรามั่นใจว่ารายได้และกำไรสุทธิจะเติบโตกว่าปีก่อนกว่าเท่าตัว โดยบริษัทฯตั้งเป้าที่จะมีส่วนแบ่งตลาดกล่อง Set top box ราว 20% หรือประมาณ 4 ล้านกล่อง จากที่เราคาดว่าทางภาครัฐฯจะแจกคูปองออกมาราว 19 ล้านใบ และยอดขายจากเครื่องใช้ไฟฟ้าอีกราว 1 พันล้านบาท ในขณะเดียวกันเรายังจะรุกธุรกิจใหม่ๆอีก"นายอมร กล่าว