นายวังสันต์ ภาณุดุลกิตติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซี.เอส.เอส.เอนเนอร์ยี่ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ CSS เปิดเผยว่า บริษัทเซ็นสัญญาบันทึกข้อตกลง (MOU) กับเทศบาลเมืองพะเยา เพื่อดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการบริหารจัดการขยะมูลฝอยชุมชน โดยแปรรูปเป็นพลังงานไฟฟ้าของเทศบาลเมืองพะเยาและพื้นที่ขององค์กรปกครองท้องถิ่นที่ร่วมโครงการ เพื่อใช้เป็นพลังงานทางเลือกและทดแทนให้สอดคล้องนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
นอกจากนี้ ยังให้ดำเนินการศึกษาเทคโนโลยี ความเป็นไปได้ของการลงทุนและผลตอบแทนที่จะใช้สำหรับการนำขยะมูลฝอยที่มีอยู่ในเทศบาลและเขตใกล้เคียงไปใช้ในการสร้างโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าจากขยะมูลฝอยชุมชน และพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับการสร้างโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ รวมถึงการศึกษาข้อมูลและนำเสนอแนวทางจัดการด้านสิ่งแวดล้อม ในพื้นที่บริเวณสถานที่กำจัดมูลฝอยเทศบาลเมืองพะเยา และพื้นที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ร่วมโครงการให้เป็นไปตามมาตรฐานคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติกำหนด
ทั้งนี้ จากข้อมูลในเบื้องต้นที่ได้รับจากเทศบาลเมืองพะเยา ซึ่งใช้ที่ดินใน ตำบลจำป่าหวาย ไว้รองรับสำหรับจัดการขยะมูลฝอยโดยวิธีฝังกลบจำนวน 82 ไร่ สามารถรองรับขยะได้มากกว่า 300 ตันต่อวัน ซึ่งการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการดังกล่าวจะใช้ระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี หลังจากนั้นจะนำข้อมูลที่ได้จากการศึกษาส่งให้กับเทศบาลเมืองพะเยาและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ร่วมโครงการ เพื่อออกข้อกำหนดโครงการ (TOR) ในการกำหนดวิธีการกำจัดขยะและเทคโนโลยีที่ใช้สำหรับโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าจากขยะและจากแสงอาทิตย์
"การเซ็น MOU ร่วมกันในครั้งนี้ ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะพิจารณาถึงความเป็นไปได้ของการนำเอาขยะมาทำเป็นพลังงานไฟฟ้า รวมถึงการดำเนินการศึกษาด้านเทคโนโลยี ความเป็นไปได้ของการลงทุนและผลตอบแทน ที่สำคัญคือการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อนำไปสู่การออกข้อกำหนด TOR โดยเบื้องต้นปริมาณขยะควรจะอยู่ที่ประมาณ 300 ตันต่อวัน ซึ่งจะส่งผลให้มีขนาดกำลังการผลิตเฉลี่ย 8-10 เมกกะวัตต์ โดยกระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้นั้นสามารถจัดจำหน่ายให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.)"นายวังสันต์กล่าว
ด้าน ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า นายกสมาคมชาวจังหวัดพะเยา กล่าวว่า สาเหตุที่เลือกให้ "ซี.เอส.เอส.เอนเนอร์ยี่"เข้ามาศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการดังกล่าวนั้นเนื่องจากเห็นว่ามีบริษัทแม่เป็นมหาชนก็คือ CSS อีกทั้งบริษัทมีความตั้งใจจริงที่จะร่วมกันแก้ไขปัญหาเรื่องของขยะ จึงทำให้ตัดสินใจเลือกเพื่อเข้ามาบริหารโครงการดังกล่าว และประเด็นสำคัญคือเชื่อว่าเมื่อมีโรงไฟฟ้าในเขตเทศบาลเมืองพะเยาและพื้นที่ใกล้เคียงจะทำให้มีการสร้างงาน สร้างรายได้ให้แก่ชุมชนตามมาในอนาคต