ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายเพิ่มบัญชีลูกค้าใหม่อีก 2 หมื่นบัญชี จากปัจจุบันมีจำนวนลูกค้าทั้งหมด 7.5 หมื่นบัญชี โดยบริษัทเตรียมเพิ่มจำนวนนักวิเคราะห์เป็น 20 ราย จากปัจจุบันมีอยู่ 18 ราย เพื่อออกบทวิเคราะห์ให้ครอบคลุมหุ้นทั้งขนาดเล็กและขนาดกล่าง ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีบทวิเคราะห์ครอบคลุม 140-150 บริษัทจดทะเบียน ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับสูง สำหรับอัตราค่านายหน้าค้าหลักทรัพย์(คอมมิชชั่น)ของบริษัทในปัจจุบันอยู่ที่เฉลี่ย 0.19% สูงกว่าภาพรวมอุตสาหกรรม และจะพยายามรักษาให้อยู่ในระดับดังกล่าวต่อไป
นายธิติ กล่าวว่า บริษัทมองแนวโน้มตลาดหุ้นไทยปี 58 ยังผันผวนมากอีกปีหนึ่ง โดยเชื่อว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์(SET Index) ช่วงเดือน มี.ค.นี้มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นทะลุ 1,600 จุด และน่าจะไปต่อถึง 1,710 จุด บนค่า P/E ที่ 16.5 เท่า ช่วงปลายไตรมาส 2-ต้นไตรมาส 3 ของปีนี้ ปัจจัยที่ขับเคลื่อนดัชนีฯมาจากปัจจัยต่างประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)มีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และการที่หลังธนาคารกลางยุโรป(ECB) ออกมาตรการ QE กระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลให้กระแสเงินทุนไหลสู่ภูมิภาคเอเชีย
ขณะที่การลงทุนในหุ้นไทยยังน่าสนใจ เนื่องจากให้ผลตอบแทนมากกว่าการลงทุนในพันธบัตรถึง 4% พร้อมกันนี้ คาดว่าผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในประเทศจะฟื้นตัวขึ้น และการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยนโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลายของธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง ทำให้สภาพคล่องโลกเพิ่มขึ้นและต้นทุนการกู้ยืมลดลง เป็นปัจจัยบวกต่อการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะหุ้น
อย่างไรก็ตาม การปรับลดประมาณการผลการดำเนินงานปี 58 ของบริษัทจดทะเบียนบางกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี จากปัจจัยความผันผวนของราคาน้ำมัน ล่าสุดราคาปรับขึ้นมาอีกครั้งหลังจากร่วงลงมามาก รวมถึงความเสี่ยงจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดยังเป็นปัจจัยที่ทำให้ตลาดหุ้นปี 58 เคลื่อนไหวผันผวนตลอดทั้งปี
บล.กสิกรไทย มองว่าเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวช้า ซึ่งจะต้องติดตามการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.)ในวันที่ 16 ก.พ.นี้ว่าจะมีการปรับประมาณการณ์เศรษฐกิจในปีนี้อย่างไร ขณะที่ บล.กสิกรไทยมองว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะเติบโตราว 3-4 % รวมถึงมั่นใจว่าไทยจะไม่เผชิญกับภาวะเงินฝืด แม้ว่าผลของราคาน้ำมันที่ลดลงรุนแรงทำให้เงินเฟ้อติดลบระยะสั้น 1-2 เดือน แต่ก็ไม่ได้สร้างความกังวลต่อนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แต่อย่างใด
หุ้นที่แนะนำ คือกลุ่มโรงกลั่น เช่น TOP และBCP โดยคาดจะได้รับประโยชน์จากค่าการกลั่นเพิ่มขึ้น รวมถึงแนะนำหุ้น กลุ่มรับเหมาที่ได้ประโยชน์จากการลงทุนของภาครัฐ นอกจากนี้ กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์จากการลงทุนของเอกชน และ กลุ่มสื่อสาร เช่น THCOM, INTUCH