นอกจากนั้น ในปีนี้บริษัทยังคาดว่าอัตรากำไรสุทธิจะอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 10% จากปีก่อนที่คาดว่าจะทำได้เพียง 7-8% เนื่องจากปีก่อนบริษัทมีการตัดค่าเสื่อมค่อนข้างมาก
นายชัชพล กล่าวอีกว่า ในปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุนไว้ราว 1 พันล้านบาทเพื่อขยายธุรกิจสร้างรายได้เพิ่ม หลังจากล่าสุดบริษัทได้เข้าซื้อกิจของบริษัท แอ็ดวานซ์ โพลิเมอร์ แอนด์ เคมิคอล จำกัด(APC)มูลค่า 730 ล้านบาท ใช้แหล่งเงินทุนจากการกู้ยืมเงินสถาบันการเงินราว 500 ล้านบาท ซึ่งทำให้บริษัทสามารถบันทึกรายได้เข้ามาทันทีในปีนี้ไม่ต่ำกว่า 400 ล้านบาท
"ปีนี้รายได้ของเราจะมากกว่า 1.5 พันล้านบาท โดยมีการเติบโตมาจากหลายๆส่วน ทั้งธุรกิจเทรดดิ้ง และรายได้จาก APC ที่เราไปซื้อมาหากการเข้าซื้อกิจการแล้วเสร็จในเดือน มี.ค.ก็จะทำให้เรามีรายได้เข้ามาทั้งปี และอีกส่วนหนึ่งก็คือธุรกิจพลังงานทดแทนที่เราจะมีการขยายกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่องในปีนี้ ทำให้เรามีความมั่นใจว่ารายได้ของเราจะเป็นไปตามาเป้าหมายที่เราวางไว้ได้"นายชัชพล กล่าว
นายชัชพล เปิดเผยอีกว่า บริษัทยังอยู่ระหว่างเจรจาเพื่อเข้าซื้อกิจการพลังงานทดแทนอีก 1-2 แห่ง มูลค่าราว 300 ล้านบาท รวมทั้งเตรียมก่อสร้างโรงงานผลิตก๊าซชีวภาพอัดความดันสูง(CBG)อีก 4-5 แห่ง มูลค่าราว 250 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทฯมีโรงก๊าซ CBG ทั้งหมด 7 แห่งในปีนี้ และมีโครงการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์รูฟ 4 โครงการที่จะสามารถจ่ายไฟเชิงพาณิชย์ได้ในเดือน มิ.ย.นี้ทั้งหมด ส่งผลให้บริษัทจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าในปีนี้ทั้งหมด 13 เมกะวัตต์
ขณะที่บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าจากชีวมวลและโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ คาดว่าจะได้ข้อสรุปในช่วงไตรมาส 2/58 เบื้องต้นน่าจะมีกำลังการผลิตราว 10 เมกะวัตต์ มูลค่าโครงการราว 900 ล้านบาท พร้อมกันนั้น บริษัทยังอยู่ระหว่างมองหาพันธมิตรเข้ามาร่วมลงทุนครั้งนี้ ทั้งบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯและนอกตลาด
"ในปีที่ผ่านมาสถานการณ์ต่างๆไม่ดีนัก โดยเฉพาะเรื่องการเมืองที่เกิดขึ้นทำให้ยอดขายของเราตกไป และใบอนุญาติต่างๆที่ออกมาล่าช้าส่งผลให้งานของบริษัทฯล่าช้าออกไปด้วย ในส่วนราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมาในช่วงนี้เรามองว่านักลงทุนคงคาดว่าปีนี้จะเป็นปีที่เรากลับมาเทิร์นอะราวด์ได้ ทั้งในเรื่องของรายได้และกำไร"นายชัชพล กล่าว
สำหรับการย้ายหุ้น UAC จากตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ(mai)เข้าจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET)นั้น มีความเป็นไปได้ในอนาคต แต่มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด(มาร์เก็ตแคป)รวมต้องขึ้นไปเตะ 1 หมื่นล้านบาทก่อน จากปัจจุบันอยู่ที่ราว 4-5 พันล้านบาท และควรจะต้องมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 2 พันล้านบาท/ปี
"การอยู่ในตลาดฯ mai ก็อบอุ่นดี แต่อนาคตเราก็ไม่แน่ที่จะย้ายไป SET แต่ผมว่าเราควรจะมีมาร์เก็ตแคปเตะ 1 หมื่นล้าน และมีรายได้ถึง 2 พันล้านบาทเสียก่อน รวมไปถึงหากเราเข้าไปอยู่ใน SET แล้วเราก็คงต้องมองถึงบริษัทลูกของเราที่มีศักยภาพที่จะ spin-off ออกมาจะทะเบียนในตลาด mai ด้วย ส่วนตัวผมเองคิดว่าอย่างเร็วคงจะเป็นปีหน้า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องอยู่ที่คณะกรรมการด้วย"นายชัชพล กล่าว