ด้านนายวสันต์ อิทธิโรจนกุล กรรมการผู้จัดการ PIMO เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปีนี้ไว้ที่ 600 ล้านบาท หรือเติบโราว 30% จากปีก่อนที่มีรายได้ 500 ล้านบาท และมีเป้าหมาย 3 ปีจากนี้จะทำรายได้แตะ 1 พันล้านบาท หรือเติบโตเฉลี่ยปีละ 30% โดยการเติบโตมาจาก 2 ปัจจัย คือ การเติบโตจากดำเนินงานปกติจากสินค้าเดิม ที่คาดว่าจะมีอัตราเติบโตเฉลี่ยราว 10-15% พร้อมกันนั้น บริษัทกำลังมองหาผลิตภัณฑ์ใหม่ และการร่วมมือกับพันธมิตรรายใหม่ ซึ่งส่วนนี้ยังไม่ได้รวมไว้ในประมาณการ
สำหรับวัตถุประสงค์ในการนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ เพื่อช่วยให้มีความมั่นคง เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน เพิ่มศักยภาพด้านการตลาด รวมไปถึงเพิ่มเงินทุนขยายธุรกิจให้เติบโตแบบยั่งยืน นอกจากนั้น การที่บริษัทเป็นบริษัทมหาชน ทำให้ PIMO เป็นบริษัทที่มีความโปร่งใส ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับคู่ค้า พันธมิตร ช่วยหนุนให้กิจการเติบโตได้ในอนาคต
ปัจจุบัน บริษัทอยู่ระหว่างการสรุปผลการดำเนินงานงวดปี 57 และการแปรสภาพจากบริษัทจำกัดเป็นบริษัทมหาชน เพื่อเตรียมยื่นไฟลิ่งต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)ในช่วงไตรมาส 2/58
"การที่เรานำหุ้นเข้าตลาดฯ เอ็ม เอ ไอ เพราะเล็งเห็นถึงความสำคัญในการสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า และสร้างความเชื่อมั่น ต่อยอดธุรกิจ และ การเข้าจดทะเบียน ก็เป็นข้อดี ที่ช่วยสร้างความโปร่งใส และเป็นเหตุผลที่สำคัญ เพราะการที่เราจะหาพันธมิตรใหม่ได้นั้น ตัวเราเองจะต้องโปร่งใส ไม่มีอะไรเคลือบแฝง อันนี้เป็นสิ่งที่ตระหนักว่าเราต้องโปร่งใส ดูดี ก่อนที่เราจะหาคู่พันธมิตรที่ดีมายังบริษัทได้ สำหรับจุดแข็ง คือ เราไม่หยุดเรื่องการปรับปรุงและพัฒนา เราคิดว่าพรุ่งนี้จะต้องดีกว่าวันนี้ สักวันหนึ่ง ไม่ไกล เราต้องขยายยอดขายไประดับพันล้าน และหมื่นล้านในอนาคต ทั้งนี้เราอยากฝากถึงนักลงทุนว่าบริษัทฯ มีความมุ่งมั่นในความสำเร็จ และจะก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง"นายวสันต์ กล่าว