ทั้งนี้ นายชัชวาลย์ ระบุว่า ที่ดินทั้งหมดดังกล่าว เป็นที่ดินที่บริษัทฯ ถือครองต่อ หรือซื้อต่อมาจากชาวบ้าน อ.บางสะพาน ที่นำมาขายให้กับบริษัท บริษัทฯ มิได้เป็นผู้ขอออกเอกสารสิทธิดังกล่าว ซึ่งในการซื้อมามีการเสียค่าตอบแทน รวมทั้งจดทะเบียนอย่างถูกต้องที่สำนักงานที่ดินฯ ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ
และทีดินทั้ง 22 แปลงดังกล่าว มิได้เป็นที่ดินที่จะก่อสร้างโรงถลุงเหล็กแต่อย่างใด ซึ่งบริเวณที่จะก่อสร้างโรงถลุงเหล็กอยู่ด้านบน (เหนือ) ของบริเวณที่ดินที่เป็นกรณีพิพาท และบริษัทได้ระงับการก่อสร้างโรงถลุงเหล็กไปแล้ว เนื่องจากบริษัทในเครือได้เข้าไปลงทุนในโรงถลุงเหล็กที่อังกฤษ จึงไม่มีความจำเป็นต้องก่อสร้างโรงถลุงเหล็กในเวลานี้ และที่ดินบริเวณดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบและไม่เกี่ยวข้องต่อการดำเนินงานในปัจจุบันของบริษัทในเครือสหวิริยา
"อย่างไรก็ดี บริษัทขอเรียนชี้แจงเพิ่มเติมว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินบริเวณเดียวกันกับที่ดินพิพาทที่สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ได้ยื่นฟ้องขอให้เพิกถอนเอกสารสิทธิ์ทั้งหมดต่อศาลปกครองกลาง เมื่อปี 2551 และต่อมาเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2555 ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษา การออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทดังกล่าวเป็นไปโดยชอบด้วยกฏหมาย โดยพื้นที่พิพาทนั้นไม่ใช่ที่สาธารณประโยชน์หรือที่สงวนไว้เพื่อทรัพยากรธรรมชาติ" นายชัชวาลย์ กล่าว