สำหรับภาพรวมราคาน้ำมันในปีนี้ มองว่าราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นในช่วงนี้เป็นเพียงการรีบาวด์หลังลงไปมาก แต่จะฟื้นตัวอย่างแท้จริงในช่วงครึ่งหลังของปี โดยทางบริษัทได้ปรับลดคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยในปีนี้เหลือ 53 เหรียญ/บาร์เรล จากเดิมคาดไว้ที่ 70 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งบริษัทมุ่งเน้นลดสต๊อกน้ำมันและดูแลสภาพคล่องเพื่อรับมือกับราคาน้ำมันที่มีความผันผวน
นายอธิคม เติบศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ TOP คาดว่าผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/58 จะดีขึ้น จากขาดทุนสุทธิในไตรมาส 4/57 เนื่องจาก GRM ไม่รวมผลกระทบจากสต็อกน้ำมันอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก โดยในเดือน ม.ค.58 อยู่ที่ 9-10 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากทั้งปี่แล้วอยู่ที่ 5.7-6.0 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ขณะที่ราคาผลิตภัณฑ์พาราไซลีน(PX) ยังอยู่ในเกณฑ์ที่คุ้มกับต้นทุนการผลิต
ในปีที่ผ่านมาบริษัทได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลงมาอยู่ระดับ 60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในช่วงปลายปี จากต้นปี 57 อยู่ที่ราว 104 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ทำให้ได้รับผลขาดทุนสต็อกราว 1.2-1.4 หมื่นล้านบาท และทั้งปีมีผลขาดทุนสุทธิ แต่ปีนี้บริษัทสามารถบริหารจัดการ GRM ได้ดี ส่วนหนึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ปรับลดลงไม่ทันกับราคาน้ำมันดิบที่ปรับลงแรงและเร็ว และอีกส่วนหนึ่งน้ำมันดิบที่นำเข้ากลั่นราว 3% จะถูกใช้เป็นเชื้อเพลิง ดังนั้น เมื่อราคาน้ำมันดิบปรับลดลงก็ทำให้ต้นทุนพลังงานภายในของบริษัทลดลงครึ่งหนึ่งด้วยเช่นกัน
สำหรับราคา PX ยังคงได้รับผลกระทบจากกำลังผลิตใหมในตลาดโลกที่เข้ามามากขึ้นในปีที่ผ่านมา คงต้องใช้ระยะเวลาหนึ่งที่ความต้องการใช้จะสูงขึ้นมารองรับกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นได้ แต่ขณะเดียวกันยังมีโรงงานขนาดเล็กในตลาดที่หยุดการผลิต ทำให้ PX ยังอยู่ในเกณฑ์ที่คุ้มค่าการผลิต โดยปีที่แล้วส่วนต่าง(สเปรด)ราคาผลิตภัณฑ์ PX อยู่ที่ราว 300 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลและน่าจะทรงตัวในปีนี้ ส่วนสเปรดเบนซีนยังไม่ดีนัก คือต่ำกว่า 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
ส่วนแนวโน้มราคาน้ำมันดิบที่ฟื้นตัวขณะนี้ มองว่าน่าจะเป็นเพียงการรีบาวด์ช่วงสั้นเท่านั้น ในระยะกลางจะปรับลดลงไปอีกครั้ง แต่ในช่วงครึ่งหลังปีนี้ราคาน่าจะฟื้นตัวได้อย่างมั่นคงมากขึ้น จากการที่สหรัฐหยุดผลิตน้ำมันในหลายหลุม และจากมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ(คิวอี) ยุโรปจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมันได้
อย่างไรก็ตาม การที่ราคาน้ำมันดิบปรับลดลงและมีความผันผวนในช่วงที่ผ่านมาทำให้กลุ่ม ปตท.ปรับลดคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบในปีนี้เหลือระดับ 53 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลจากเดิมที่ราว 70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่ง TOP เองก็ได้ปรับนโยบายเพื่อลดผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ลดลงว โดยตั้งแต่ปลายปีที่แล้วได้พยายามลดปริมาณสต็อคน้ำมันให้มากที่สุด ด้วยการเจรจากับคู่ค้าเพื่อเปลี่ยนการซื้อน้ำมันจากเดิมที่เป็นรูปแบบ FOB ที่จะรับน้ำมันดิบตั้งแต่เรือออกจากท่า มาเป็น CIF ซึ่งจะยังไม่รับน้ำมันดิบจนกว่าเรือจะมาถึงท่า เพื่อลดความเสี่ยงในการบริหารสต็อก รวมถึงจะดูแลสภาพคล่องรองรับสถานการณ์ราคาที่ผันผวน ตลอดจนดูแลความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน และจัดลำดับสำคัญในการลงทุนด้วย
นายอธิคม กล่าวอีกว่า ปีนี้บริษัทไม่มีแผนหยุดซ่อมบำรุงใหญ่สำหรับโรงกลั่นน้ำมัน เหมือนในปีที่ผ่านมาที่หยุดซ่อมบำรุงหน่วยกลั่นน้ำมันดิบ ทำให้คาดว่าการใช้กำลังการกลั่นในปีนี้จะอยู่ระดับราว 100% เทียบจากราว 95% ในปีที่แล้ว