"บริษัทยังมุ่งเน้นการผลิตและคัดสรรรายการจากผู้ผลิตชั้นนำที่มีฝีมือทั้งในและต่างประเทศ โดยหวังให้ช่อง GMM 25 เป็นช่องที่เต็มไปด้วยรายการที่มีคุณภาพ เพื่อให้ถูกใจกลุ่มผู้ชมทุกเพศทุกวัย จุดยืนของเรายังเดินหน้าพัฒนาคอนเทนท์ใหม่ๆตลอดเวลาให้ตอบรับกับไลฟ์สไตล์ของผู้ชมที่เปลี่ยนแปลงไป โดยปัจจุบันเรามีพันธมิตรชั้นนำระดับมืออาชีพทั้งในและต่างประเทศร่วมผลิตรายการทั่งประเภทวาไรตี้ เกมโชว์ ข่าว แลขสาระบันเทิง เรียกได้ว่าตลอดปีนี้เป็นมิติใหม่ที่ผู้ชมจะได้รับชมคอนเทนท์ระดับพรีเมี่ยมในช่อง GMM 25"นางสาวสายทิพย์ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทมั่นใจว่าช่อง GMM 25 จะสามารถคืนทุนได้ภายในระยะเวลา 3 ปี ตามเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ พร้อมตั้งเป้าโกยเรตติ้งเพื่อก้าวขึ้นเป็น 1 ใน 5 ของทีวีดิจิตอาภายใน 3 ปี จากปัจจุบันที่มีการสำรวจอันดับเรตติ้งช่อง GMM 25 อยู่ในอันดับที่ 9 และ 10 แต่ในกลุ่มคนอายุช่วง 15-29 ปี ช่อง GMM 25 อยู่ในอันดับที่ 5 และ 6
"เป้าหมายที่วางไว้ก็เป็น Goal ของบริษัท แต่เราทำงานตอนนี้ไม่ได้มองที่จะแข่งขันกับคนอื่นมาก แต่เราต้องการทำงานของตัวเองให้ดีที่สุดมากกว่า จากที่ผ่านมาทำคลื่นวิทยุก็ไม่ได้ตั้งเป้าเป็น Top Rate แต่กล้าพูดว่า Green Wave เราดังสุด เป้าช่อง GMM 25 ที่ตั้งไว้เป็น 1 ใน 5 ของช่องดิจิตอลภายใน 3 ปี ก็เป็นเป้าของบริษัทที่ต้องมี"นางสาวสายทิพย์ กล่าว
สำหรับกลยุมธ์ในปีนี้บริษัทไม่เน้นการปรับอัตราค่าโฆษณาในช่อง GMM 25 แต่จะเน้นการขายในรูปแบบต่างๆ อย่างเช่น แพ็คเกจต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้นให้มีความหลากหลายและตรงกับความต้องการของลูกค้า โดยเฉพาะในรูปแบบ"One Stop Shopping" ซึ่งราคาค่าโฆษณาจะขึ้นอยู่กับแต่ละรายการ หากเป็นรายการที่ได้รับความนิยม ราคาค่าโฆษณาจะสูง อย่างเช่นรายการ Club Friday The Series ที่มีอัตราค่าโฆษณาสูงถึง 150,000 บาท/นาที
"ราคาโฆษณาของช่อง GMM 25 ยังไม่มีการปรับราคา แต่มีการรับรูปแบบการขาย แบบที่ลูกค้าเข้าใจได้และตรงตามลักษณะความต้องการของลูกค้า การปรับรูปแบบการขายก็มีผลให้รายได้เพิ่มขึ้น เพราะรายการไหนมีความต้องการมากราคาก็จะสูงขึ้นตาม"นางสาวสายทิพย์ กล่าว
ส่วนงบลงทุนรวมของช่อง GMM 25 ในปี 58 ตั้งไว้ที่ 1.2 พันล้านบาท โดยส่วนใหญ่ใช้ไนการผลิตรายการ และการจัดแคมเปญส่งเสริมการตลาด รวมทั้งงบสื่อสารทางการตลาดที่บริษัทตั้งไว้ 100 ล้านบาทสำหรับปีนี้
นางสาวสายทิพย์ กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทยังไม่สามารถผลิตรายการของช่อง GMM 25 ได้เต็ม 100% โดยปัจจุบันอยู่ที่ 60-70% เนื่องจากช่อง GMM 25 เพิ่งเริ่มได้ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา สัดส่วนรายการที่บริษัทผลิตเองและรายการจากผู้ผลิตรายอื่นอยู่ที่ 50:50 แต่บริษัทยังเดินหน้าเพิ่มการผลิตรายการให้กับช่องอยู่ตลอดเวลา และทยอยปรับผังรายการให้มีความเหมาะสมมากขึ้น
ด้านรายได้ของกลุ่มธุรกิจคลื่นวิทยุ, โชว์บิซ และท่องเที่ยวในเครือเอไทม์ มีเดียนั้น ในปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 700-800 ล้านบาทเช่นเดียวกัน โดยขณะนี้มีคลื่นวิทยุ 3 คลื่น ได้แก Chill FM 89, 94 EFM และ 106.5 Green Wave โดยแนวโน้มรายได้ของวิทยุไนปีนี้คงไม่การเติบโตหรือทรงตัวจากปีที่แล้ว โดยมองเม็ดเงินโฆษณาของตลาดรวมที่จะเข้ามาในคลื่นวิทยุปีนี้อยู่ที่ 3.6 พันล้านบาท
รายได้จากธุรกิจโชว์บิซในปีนี้คาดว่าจะเติบโตได้ 15-20% จากปีก่อนที่มีรายได้กว่า 100 ล้านบาท มาจากการคาดการณ์ยอดจำหน่ายบัตรชมคอนเสิร์ตที่มีแนวโน้มที่ดีขึ้นกว่าปีก่อนค่อนข้างมาก หลังเหตุการณ์ทางการเมืองสงบลง แม้ว่าราคาบัตรคอนเสิร์ตจะยังไม่มีการปรับเพิ่มขึ้น ประกอบกับในปีนี้มีคอนเสิร์ตของเอไทม์ โชว์บิซจัดทั้งหมด 7 คอนเสิร์ต เพิ่มจากปีก่อนที่มี 6 คอนเสิร์ต เพราะบางคอนเสิร์ตเลื่อนจัดมาไนปีนี้แทน
"ธุรกิจโชว์บิซปีนี้มองแนวโน้มการขายตั๋วดีขึ้น จากปีก่อนที่เจอเหุการณ์ทางการเมืองทำให้ยอดขายตั๋วหดลงไปมากและมีการเลื่อนการแสดง ซึ่งบางการแสดงมาจัดในปีนี้ ส่วนราคาบัตรเรายังขึ้นไม่ได้ ก็ยังขายราคาเท่าที่ขายในปัจจุบันไปเรื่อยๆก่อน แต่ราคาที่ขายคนดูก็ให้การตอบรับที่ดี เพราะเราเน้นคุณภาพของงานที่เราทำออกมา จะเห็นได้จากคอนเสิร์ต 10 ปีของออฟ ปองศักดิ์ บัตรก็ขายหมด จนต้องเปิดรอบที่ 3"นางสาวสายทิพย์ กล่าว