พร้อมกันนั้น ในปีนี้จะมีการลงทุนสร้างคลังน้ำมันแห่งที่ 10 ในจังหวัดสุรินทร์เพื่อรองรับแผนงานขยายสถานีบริการน้ำมัน โดยบริษัทได้มีการวางงบลงทุนรวมในปีนี้ไว้ที่ 2.43 พันล้านบาท แบ่งออกเป็นงบลงทุนสำหรับธุรกิจน้ำมัน (Oil Business) 1.39 ล้านบาท ธุรกิจ Non-Oil 41 ล้านบาท ธุรกิจ Renewable และอื่นๆ 1 พันล้านบาท
"คาดว่าสถานีให้บริการก๊าซ แอลพีจี แห่งแรกจะแล้วเสร็จและดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงไตรมาสแรกของปี 58 โดยผู้ใช้บริการสามารถใช้ “พีที แม็กซ์ การ์ด“สะสมคะแนนเช่นเดียวกับผู้ใช้บริการสถานีบริการน้ำมัน นโยบายการเปิดสถานีให้บริการก๊าซแอลพีจีนั้นเราดำเนินนโยบายหรือโมเดลเช่นเดียวกันกับการเปิดสถานีให้บริการน้ำมัน โดยบริษัทเน้นการเช่าเข้าไปปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของสถานีบริการ ทำให้ใช้งบการลงทุนไม่มาก คาดว่าลงทุนเบื้องต้นสถานีละประมาณ 5-7 ล้านบาท"นายพิทักษ์ กล่าว
สำหรับทิศทางการดำเนินงานของ PTG นั้น นายพิทักษ์ กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าผลการดำเนินงานธุรกิจหรือรายได้ในปี 58 น่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นราว 20% เมื่อเทียบกับปี 57 มาจากจำนวนและยอดขายสถานีให้บริการน้ำมันเพิ่มขึ้น และในปีนี้จะมีรายได้จากสถานีให้บริการก๊าซแอลพีจีเพิ่มเข้ามาด้วย พร้อมตั้งเป้ารายได้เติบโตเฉลี่ยในช่วงปี 58-61 ปีละ 20% และคาดว่าสัดส่วนกำไรจากธุรกิจน้ำมันในปี 61 จะเหลือ 40-50% จากปัจจุบันอยู่ที่กว่า 90% และส่วนที่เพิ่มเข้ามาจะเป็นกำไรธุรกิจ Non-Oil
"แม้ว่าราคาน้ำมันจะลดลง แต่เนื่องจากค่าการตลาดยังอยู่ในระดับดี จึงเชื่อว่าการเติบโตของบริษัทไม่ได้รับผลกระทบ และยังสามารถรักษาระดับการเติบโตไว้ไม่ให้ต่ำกว่าปีที่แล้ว อีกทั้งปีนี้เรามีการเพิ่มในส่วนของสถานนีก๊าซแอลพีจีเสริมเข้ามาด้วย ส่วนรายได้ของปีที่แล้วก็ทำได้ใกล้เคียงเป้าที่ 20% จากปี 56 มียได้ 4.7 หมื่นล้านบาท แต่กำไรโตกว่าปี 56 แน่นอน"นายพิทักษ์ กล่าว
ส่วนของสมาชิกบัตร ““พีที แม็กซ์ การ์ด" สิ้นปี 57 มีสมาชิกกว่า 2.4 ล้านราย และคาดว่าในปีนี้น่าจะมีผู้ให้ความสนใจสมัครเป็นสมาชิกเพิ่มมากขึ้น จากการให้บริการที่ครอบคลุมทั้งสถานีให้บริการน้ำมันและสถานีให้บริการ ก๊าซ แอลพีจี คาดว่าจำนวนสมาชิกบัตรสิ้นปี 58 จะมีประมาณ 3.6 ล้านราย พร้อมตั้งเป้าเพิ่มสมาชิกเป็น 7.2 ล้านรายภายในปี 61
นายพิทักษ์ กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการอุตสาหกรรมปาล์ม คอมเพล็กซ์ (Palm Complex) ล่าสุด PTG ได้ร่วมลงนามกับพันธมิตร 2 ราย ได้แก่ กลุ่มบริษัท ท่าฉางอุตสาหกรรม(TCG) และ บริษัท อาร์แอนด์ดี เกษตรพัฒนา จำกัด เพื่อจัดตั้ง บริษัท พีพีพี กรีน คอมเพล็กซ์ ทุนจดทะเบียน 872 ล้านบาท PTG ถือหุ้น 40% กลุ่มบริษัทท่าฉางฯ 50% และอาร์แอนด์ดี เกษตรพัฒนา 10% คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างโครงการดังกล่าวในช่วงไตรมาส 1/58 และจะเสร็จสมบูรณ์ในช่วงปี 60
“ทั้งหมดเป็นเพียงโครงการในระยะเริ่มต้น ที่เราจะเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จในระยะอันใกล้ แต่ในอนาคต บริษัทยังมีแผนงานที่อยู่ในขั้นตอนการศึกษาข้อมูลอีกมาก เพื่อเป็นการมองหาโอกาสในการลงทุนธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับพลังงานอย่างรอบด้าน เพื่อให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของบริษัทฯ ที่เราไม่เพียงต้องการเป็นผู้นำในด้านธุรกิจปิโตรเลียม เพราะเราต้องการเป็นผู้นำในด้านพลังงานในทุกรูปแบบ" นายพิทักษ์ กล่าว
นอกจากนี้บริษัทยังมีการเจรากับพันธมิตรในประเทศ 2-3 ราย เพื่อร่วมลงทุนตั้งโรงงานผลิตแอททานอล มูลค่ากว่า 1 พันล้านบาท โดยยังไม่สามารถสรุปช่วงเวลาที่มีข้อสรุปที่ชัดเจนได้ในขณะนี้ อย่างไรก็ตาม บริษัทสนใจลงทุนธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานด้านอื่นๆ อย่างเช่น โรงงานไฟฟ้าพลังงานขยะ ขนาดกำลังการผลิตต้องมากกว่า 10 เมกะวัตต์
นายพิทักษ์ กล่าวอีกว่า PTG ยังสนใจเข้าซื้อหุ้น บมจ.บางจากปิโตรเลียม(BCP)จากบมจ.ปตท.(PTT) ที่จะเสนอขายในสัดส่วน 12.22% แต่อยู่ระหว่างการรอรายละเอียดการขายที่ชัดเจนจาก PTT ก่อน เพราะการเข้าซื้อหุ้นในสัดส่วนดังกล่าวอาจต้องใช้เงินค่อนข้างสูง ซึ่งบริษัทมีกระแสเงินสดที่เพียงพอ อีกทั้งยังมีความสามารถในการกู้สถาบันการเงินและการออกหุ้นกู้ได้อีก