บลจ.ยูโอบี เสนอ 2 กองทุนให้ปรับพอร์ตกระจายลงทุนสินทรัพย์ทั่วโลก

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday February 6, 2015 10:37 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางสาวณัชชา สุนทรธาราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ สายพัฒนาธุรกิจ บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า บริษัทออกกองทุนเปิด ยูโอบี สมาร์ท โกลบอล แอลโลเคชั่น ฟันด์ (UOBSGA) และกองทุนเปิด ยูโอบี โกลบอล แอลโลเคชั่น เพื่อการเลี้ยงชีพ (UOBGARMF) จะลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศชื่อ BGF Global Allocation Fund (กองทุนหลัก) โดยมุ่งลงทุนในตราสารทุน ตราสารหนี้ ทั้งภาครัฐและเอกชนในต่างประเทศทั่วโลกในสภาวการณ์ปกติไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน มีการบริหารจัดการโดย BlackRock (Luxembourg) S.A. ซึ่งเป็นบริษัทจัดการกองทุนที่มีชื่อเสียงและมีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลก หรือมากกว่า 4.52 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และยังมีขนาดกองทุนประเภท Multi-Asset Allocation ที่ใหญ่เป็นอันดับ 1 ของโลก หรือมากกว่า 3.73 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ข้อมูล ณ วันที่ 30 ก.ย. 2557)
"สภาวะตลาดโลกในปัจจุบันนั้นมีความผันผวนสูงจากความแตกต่างด้านนโยบายการเงินของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลัก (Policy Divergence) ความไม่แน่นอนของราคาน้ำมัน รวมไปถึงปัญหาทางการเมืองในประเทศ บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) เข้าใจถึงความต้องการของนักลงทุน จึงนำเสนอทางเลือกผ่านการลงทุนในกองทุนรวมที่มีความยืดหยุ่นในการปรับพอร์ตการลงทุนอย่างรวดเร็ว ให้เหมาะสมกับภาวะตลาดและเน้นกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ทั่วโลก (Global Diversification Solution) ผ่านกองทุนหลัก BGF Global Allocation Fund เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีอย่างสม่ำเสมอในระยะยาว"นางสาวณัชชา กล่าว

กองทุนหลัก BGF Global Allocation จัดตั้งมาแล้วกว่า 17 ปี สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างสม่ำเสมอและสูงกว่าผลตอบแทนเฉลี่ยจากตลาดหุ้นและพันธบัตรทั่วโลก (Global Stocks & Bonds)* โดยผลการดำเนินงานรวมตั้งแต่จัดตั้งกองทุนอยู่ที่ 7.53% ต่อปี เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐาน FTSE World Index ที่ 6.85% ต่อปี และ MSCI World Index ที่ 6.13% ต่อปี** และด้วยความเชี่ยวชาญในการคัดเลือกหุ้นทั่วโลก (Stock Selection) ของผู้จัดการกองทุนกว่า 40 คน ทำให้มีการกระจายพอร์ตการลงทุนไปกว่า 700 หลักทรัพย์ ใน 40 ประเทศ และมากกว่า 30 สกุลเงิน ในขณะที่ค่าความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตกองทุนตั้งแต่จัดตั้งมีค่าน้อยกว่าเกณฑ์มาตรฐานถึง 1 ใน 3 เท่า หรือเพียง 10.67% ต่อปี เมื่อเทียบกับ FTSE World Index ที่ 16.18% ต่อปี และ MSCI World Index ที่ 15.86% ต่อปี** นอกจากนั้นกองทุนหลักยังได้รับการจัดอันดับสูงสุด Gold Rating และ 4 ดาวจาก Morningstar และได้รับการจัดอันดับ 4 จาก Lipper (ข้อมูล ณ วันที่ 30 พ.ย 2557)

"ข้อดีของทั้งสองกองทุนนี้คือเปิดโอกาสให้นักลงทุนได้กระจายลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆทั่วโลก ผ่านการลงทุนในหน่วยลงทุนต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว โดยกองทุนยังสามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนเพื่อลดความผันผวนจากภาวะตลาดที่เปลี่ยน จึงเหมาะสำหรับผู้สำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาติดตามสภาวะเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด แต่ต้องการโอกาสรับผลตอบแทนจากกลุ่มสินทรัพย์ต่างๆ ทั่วโลก โดยกองทุนเปิด ยูโอบี สมาร์ท โกลบอล แอลโลเคชั่น ฟันด์ (UOBSGA) ยังมีกระแสเงินสดคืนให้แก่ผู้ลงทุนจากการรับซื้อหน่วยลงทุนคืนอัตโนมัติไม่เกินปีละ 4 ครั้ง (ตามเงื่อนไขที่ระบุในหนังสือชี้ชวน) และกองทุนเปิด ยูโอบี โกลบอล แอลโลเคชั่น เพื่อการเลี้ยงชีพ (UOBGARMF) ยังมอบสิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ผู้ลงทุนอีกด้วย"น.ส.ณัชชากล่าว

ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญจาก BlackRock ได้วิเคราะห์ว่าตลอด 6 ปีที่ผ่านมา ตลาดตราสารทุนยังคงให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาดตราสารหนี้เสมอ ดังนั้นผู้จัดการกองทุนจะใช้ประสบการณ์และความชำนาญในการวิเคราะห์เพื่อคัดสรรหุ้น (Stock Selection) ที่ดีจากทั่วโลก โดยยังคงน้ำหนักไว้ที่ตลาดหุ้นประเทศญี่ปุ่น ซึ่งให้ผลตอบแทนที่โดดเด่นมาตลอด รวมไปถึงหุ้นกลุ่มธุรกิจสุขภาพ (Healthcare) ซึ่งเป็นอีกกลุ่มที่มีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยกลยุทธ์การปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนจะถูกปรับเปลี่ยนไปตามความเหมาะสมตามสภาวะเศรษฐกิจ อาทิเช่น เมื่อตลาดมีความผันผวนสูง สัดส่วนของหน่วยลงทุนที่ลงในตราสารทุนอาจถูกปรับไปลงทุนในตราสารหนี้หรือคงเป็นเงินสด เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและลดความเสี่ยงจากความความผันผวนของตราสารทุนที่อาจเกิดขึ้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ