"สภาวะตลาดโลกในปัจจุบันนั้นมีความผันผวนสูงจากความแตกต่างด้านนโยบายการเงินของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลัก (Policy Divergence) ความไม่แน่นอนของราคาน้ำมัน รวมไปถึงปัญหาทางการเมืองในประเทศ บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) เข้าใจถึงความต้องการของนักลงทุน จึงนำเสนอทางเลือกผ่านการลงทุนในกองทุนรวมที่มีความยืดหยุ่นในการปรับพอร์ตการลงทุนอย่างรวดเร็ว ให้เหมาะสมกับภาวะตลาดและเน้นกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ทั่วโลก (Global Diversification Solution) ผ่านกองทุนหลัก BGF Global Allocation Fund เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีอย่างสม่ำเสมอในระยะยาว"นางสาวณัชชา กล่าว
กองทุนหลัก BGF Global Allocation จัดตั้งมาแล้วกว่า 17 ปี สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างสม่ำเสมอและสูงกว่าผลตอบแทนเฉลี่ยจากตลาดหุ้นและพันธบัตรทั่วโลก (Global Stocks & Bonds)* โดยผลการดำเนินงานรวมตั้งแต่จัดตั้งกองทุนอยู่ที่ 7.53% ต่อปี เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐาน FTSE World Index ที่ 6.85% ต่อปี และ MSCI World Index ที่ 6.13% ต่อปี** และด้วยความเชี่ยวชาญในการคัดเลือกหุ้นทั่วโลก (Stock Selection) ของผู้จัดการกองทุนกว่า 40 คน ทำให้มีการกระจายพอร์ตการลงทุนไปกว่า 700 หลักทรัพย์ ใน 40 ประเทศ และมากกว่า 30 สกุลเงิน ในขณะที่ค่าความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตกองทุนตั้งแต่จัดตั้งมีค่าน้อยกว่าเกณฑ์มาตรฐานถึง 1 ใน 3 เท่า หรือเพียง 10.67% ต่อปี เมื่อเทียบกับ FTSE World Index ที่ 16.18% ต่อปี และ MSCI World Index ที่ 15.86% ต่อปี** นอกจากนั้นกองทุนหลักยังได้รับการจัดอันดับสูงสุด Gold Rating และ 4 ดาวจาก Morningstar และได้รับการจัดอันดับ 4 จาก Lipper (ข้อมูล ณ วันที่ 30 พ.ย 2557)
"ข้อดีของทั้งสองกองทุนนี้คือเปิดโอกาสให้นักลงทุนได้กระจายลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆทั่วโลก ผ่านการลงทุนในหน่วยลงทุนต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว โดยกองทุนยังสามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนเพื่อลดความผันผวนจากภาวะตลาดที่เปลี่ยน จึงเหมาะสำหรับผู้สำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาติดตามสภาวะเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด แต่ต้องการโอกาสรับผลตอบแทนจากกลุ่มสินทรัพย์ต่างๆ ทั่วโลก โดยกองทุนเปิด ยูโอบี สมาร์ท โกลบอล แอลโลเคชั่น ฟันด์ (UOBSGA) ยังมีกระแสเงินสดคืนให้แก่ผู้ลงทุนจากการรับซื้อหน่วยลงทุนคืนอัตโนมัติไม่เกินปีละ 4 ครั้ง (ตามเงื่อนไขที่ระบุในหนังสือชี้ชวน) และกองทุนเปิด ยูโอบี โกลบอล แอลโลเคชั่น เพื่อการเลี้ยงชีพ (UOBGARMF) ยังมอบสิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ผู้ลงทุนอีกด้วย"น.ส.ณัชชากล่าว
ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญจาก BlackRock ได้วิเคราะห์ว่าตลอด 6 ปีที่ผ่านมา ตลาดตราสารทุนยังคงให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาดตราสารหนี้เสมอ ดังนั้นผู้จัดการกองทุนจะใช้ประสบการณ์และความชำนาญในการวิเคราะห์เพื่อคัดสรรหุ้น (Stock Selection) ที่ดีจากทั่วโลก โดยยังคงน้ำหนักไว้ที่ตลาดหุ้นประเทศญี่ปุ่น ซึ่งให้ผลตอบแทนที่โดดเด่นมาตลอด รวมไปถึงหุ้นกลุ่มธุรกิจสุขภาพ (Healthcare) ซึ่งเป็นอีกกลุ่มที่มีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยกลยุทธ์การปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนจะถูกปรับเปลี่ยนไปตามความเหมาะสมตามสภาวะเศรษฐกิจ อาทิเช่น เมื่อตลาดมีความผันผวนสูง สัดส่วนของหน่วยลงทุนที่ลงในตราสารทุนอาจถูกปรับไปลงทุนในตราสารหนี้หรือคงเป็นเงินสด เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและลดความเสี่ยงจากความความผันผวนของตราสารทุนที่อาจเกิดขึ้น