อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งแรกปีนี้คาดว่าตลาดในประเทศยังไม่คึกคักหรือฟื้นตัวชัดเจนนัก เนื่องจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ภาคเอกชนยังไม่มีการลงทุนในโครงการใหม่มากนัก ทำให้บริษัทวางแผนเจาะกลุ่มลูกค้าโครงการอาคารภาครัฐมากขึ้น เพื่อทดแทนงานภาคเอกชนที่ยังอยู่ในภาวะชะลอตัว ขณะเดียวกันก็เพิ่มตัวแทนจำหน่าย 15-20% เพื่อเตรียมพร้อมรับกำลังซื้อที่จะกลับมา จากปัจจุบันที่มีจำนวน 100 กว่าราย
"แผนงานในปีนี้บริษัทจะหันมาเน้นงานภาครัฐมากขึ้น ทำให้สัดส่วนรายได้ปีนี้จะแบ่งเป็นงานภาคเอกชน 50% งานภาครัฐ 50% จากเดิมที่สัดส่วนรายได้จะมาจากงานภาคเอกชนเกือบ 100% นอกจากนี้บริษัทเตรียมออกสินค้าใหม่ ภายในไตรมาส 3/58 ที่เป็นผลิตภัณฑ์เกี่ยวข้องกับอิฐมวลเบาเพื่อเป็นตัวเลือกให้กับลูกค้าเพิ่มเติม และอยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อการพัฒนาและผลิตผนังอิฐมวลเบาสำเร็จรูป ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความน่าสนใจ"นายรังสี กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าปีนี้จะมีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ระดับ 5-10% และอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ระดับ 15-20%
อีกทั้งจะขยายศูนย์กระจายสินค้า-ขนส่งให้ครอบคลุมพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จากเดิมที่บริษัทเน้นตลาดภาคตะวันออก ภาคกลาง กรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคตะวันออกเฉียงเหนือบางส่วน เช่น จังหวัดนคราชสีมา อย่างไรก็ตาม ลูกค้าหลักยังเป็นภาคตะวันออก 40% กรุงเทพฯและปริมณฑล 40% ขณะที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะมีสัดส่วนอยู่ที่ 10%
"โครงการอสังหาริมทรัพย์ในภาคตะวันออกและภาคอีสานยังมีการลงทุนก่อสร้างต่อเนื่อง แต่การแข่งขันก็ปรับตัวสูงขึ้นด้วยเช่นกัน ซึ่บริษัทได้มีการปรับกลยุทธ์โดยสร้างระบบการกระจายสินค้าที่มีประสิทธิภาพ ลดต้นทุน เพื่อสามารถแข่งขันกับผู้ผลิตรายอื่นๆได้ เบื้องต้นบริษัทจะตั้งศูนย์กระจายสินค้าที่ จังหวัดนครราชสีมา และยังได้มีการขยายกลุ่มลูกค้าโครงการภาครัฐมากขึ้น ซึ่งในปัจจุบันบริษัทได้รับออร์เดอร์ในส่วนนี้เข้ามาแล้ว"นายรังสี กล่าว
บริษัทยังเตรียมความพร้อมด้านวัตถุดิบเพื่อรองรับการผลิตสินค้าเดิมและสินค้าใหม่ โดยเมื่อปลายปี 57 ได้ซื้อที่ดินบ่อทราย จำนวน 176 ไร่ ซึ่งตั้งอยู่ อ.บ่อทอง ไม่ไกลจากโรงงาน SMART เพื่อใช้เป็นแหล่งวัตถุดิบสำคัญ รองรับการผลิตสินค้ามีจำนวนมากพอต่อการผลิตมากกว่า 7 ปี โดยปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตที่ 4.5 ล้านตารางเมตร/ปี และหากภาวะตลาดสินค้ากลุ่มวัสดุก่อสร้าง-อิฐมวลเบาของไทยในปีนี้เติบโตที่ดีบริษัทคาดว่าจะขยายกำลังการผลิตอิฐมวลเบาเพิ่มเป็น 6 ล้านตารางเมตร/ปีภายในปีนี้ ขณะที่ปีนี้บริษัทได้ตั้งงบลงทุน 200 ล้านบาท เพื่อใช้สำหรับการพัฒนาพื้นที่โรงงานละปรับปรุงเครื่องจักร
สำหรับการุกตลาดอิฐมวลเบาในประเทศเพื่อนบ้านนั้น ขณะนี้บริษัทได้ศึกษาและเจรจาร่วมมือกับพันธมิตร เพื่อส่งสินค้าอิฐมวลเบาไปขายในประเทศพม่า ในรูปแบบการขายผ่านตัวแทนจำหน่าย โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปในช่วงไตรมาส 3/58 และมีแผนขยายตลาดไปสู่ประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆเช่นกัน โดยมองว่าตลาดรวมในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะกลุ่ม CLM ได้แก่ กัมพูชา ลาว พม่า น่าจะมีการขยายตัวที่ค่อนข้างสูง เนื่องจากมีการเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆภายในประเทศ เช่น โครงข่ายถนน ระบบสาธารณูปโภค โรมแรม ที่อยู่อาศัย
"สินค้าวัสดุก่อสร้างภายในกลุ่มประเทศ CLM อาจมีคุณภาพ มาตรฐาน ตลอดจนมีปริมาณไม่เพียงพอสำหรับการใช้งานก่อสร้างในหลายโครงการ ส่งผลให้กลุ่มประเทศ CLM มีความต้องการซื้อสินค้าในหมวดวัสดุก่อสร้างจากไทยเพิ่มขึ้น"นายรังสี กล่าว
อนึ่ง เช้าวันนี้ SMART แจ้งผลการดำเนินงานในปี 57 โดยมีกำไรสุทธิ 41.72 ล้านบาท และมีรายได้รวม 432.69 ล้านบาท
นายรังสี กล่าวว่า รายได้รวมในปี 57 ที่ผ่านมาสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่คาดว่าจะเติบโตราว 4% จากปีก่อนหน้า ส่วนกำไรเติบโตราว 100% จากปีก่อนหน้า เนื่องจากมีการบันทึกกำไรพิเศษจากการขายที่ดินจำนวน 21.98 ล้านบาทในไตรมาส 3/57