การเติบโตของมาร์เก็ตแชร์ในปี 63 มาจากกลุ่มนักลงทุนบุคคลในประเทศตั้งเป้าเพิ่มมาร์ก็ตแชร์เป็น 22% จากปีนี้ 15% กลุ่มนักลงทุนสถาบันต่างประเทศเป็น 5% จากปีนี้ 2.3% และกลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศเข้าใกล้ 10% จาก 5% ในปีนี้ โดยบริษัทมีสัดส่วนลูกค้าเป็นรายย่อย 60% สถาบันในประเทศ 10% และสถาบันต่างประเทศ 20% ที่เหลืออาจเป็น Prop. trade ซึ่งขณะนี้บริษัทยังไม่มี Prop. trade แต่อยู่ระหว่างการทบทวน เพราะต้องมีการวางระบบรองรับ โดยบริษัทจะเน้นในการลงทุนมากกว่าซื้อมาขายไป
สำหรับแผนงานในปี 58 บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมเติบโต 15% จากปีก่อนทำได้ราว 4,434 ล้านบาท โดยรายได้หลักมาจากธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ส่วนธุรกิจวาณิชธนกิจ (IB) ที่ขณะนี้มีงานทีป่รึกษาทางการเงินเพื่อเสนอขายหุ้นให้แก่ประชาชนทั่วไป(IPO)ประมาณ 5-7 บริษัท และมีการจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานอีก 2-3 ราย มีมูลค่าการระดมทุนทั้งหมดกว่า 10,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีงานที่ปรึกษาทางการเงินในการควบรวมกิจการและซื้อกิจการ(M&A)ที่อยู่ระหว่างการเจรจาด้วย
"ปี 58 คาดวอลุ่มเทรดเฉลี่ยต่อวันของบริษัทราว 10,000 ล้านบาท และปี 63 คาดเพิ่มเป็น 15,000 ล้านบาท"นายมนตรี กล่าว
ปัจจุบัน MBKET มีบัญชีลูกค้า 1.7 แสนบัญชี เป็นบัญชีแอคทีฟราว 8 หมื่นบัญชี หรือ 50% ซึ่งในจำนวนนี้เป็นลูกค้ารายใหญ่ราว 5% โดยบริษัทตั้งเป้าสิ้นปี 58 จะเพิ่มบัญชีลูกค้าทั้งหมดเป็น 1.95 แสนบัญชี ขณะที่รายได้หลักมาจากธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ 71% ดอกเบี้ยรับ 21% และ IB ราว 5% ที่เหลือเป็นรายได้อื่น ๆ
"การจะดูแลคนให้อยู่กับเราเป็นเรื่องท้าทาย และการที่เรายังเป็นอันดับ 1 อยู่ได้เพราะนักลงทุนบุคคลยังโดดเด่นอยู่ ขณะที่สถาบันในประเทศไตรมาส 4/57 ขยับขึ้นเป็น 6-7% จากปีก่อน 5% ต้นปีนี้ก็อยู่ที่ 6-7% เมื่อเราดูโบรกฯที่เป็นผู้นำสถาบันในประเทศอยู่ที่ 9% เราก็ห่างจากโบรกฯผู้นำไม่เยอะสะท้อนว่าลูกค้ามั่นใจเรามากขึ้นเป็นสัญญาณที่ดี" นายมนตรี กล่าว
ส่วนผลประกอบการในปี 57 บริษัทมีรายได้จากดอกเบี้ยรับอยู่ที่ 21% ของรายได้รวม โดยบริษัทมีวงเงินให้กู้ยืมเพื้อซื้อขายหลักทรัพย์ (มาร์จิ้นโลน) 1.3-1.4 หมื่นล้านบาท กินมาร์เก็ตแชร์ 22% จากทั้งระบบมีประมาณ 6 หมื่นล้านบาท โดยสามารถปล่อยได้สูงสุดถึง 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งบริษัทมีการบริหารความเสี่ยงในระดับที่ดีมาก สะท้อนไปถึง 13 ปีที่ผ่านมาไม่มีหนี้เสียเลย อีกทั้งบริษัทยังมีรายได้จากธุรกรรมการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์(SBL)ด้วย
"บริษัทสามารถคุมมาร์จิ้นโลนได้ดี ลูกค้าไม่เคยมีปัญหา ดูแลตัวเอง หุ้นตกมากขนาดไหนโบรกฯเราไม่มีการบังคับขายหุ้น"นายมนตรี กล่าว
ด้านนายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ และหัวหน้าฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ MBKET กล่าวถึงภาวะตลาดหลักทรัพย์ของไทยในช่วงครึ่งปีแรกว่า มองเป้าดัชนีตลาดหลักทรัพย์(SET Index)ที่ 1,650 จุด ถือเป็นระดับที่เหมาะสม ภายใต้คาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ(จีดีพี)เติบโต 4% กำไรบริษัทจดทะเบียน (EPS) เติบโต 20% ส่วนภาวะทั้งปีต้องรอประเมินอีกทีในช่วงครึ่งปีหลัง เพราะคาดไตรมาส 2/58 ตลาดหุ้นน่าจะปรับฐานจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)อาจปรับทิศทางดอกเบี้ย ซึ่งก็จะมีผลต่อเงินลงทุนทั่วโลก
ทั้งนี้ หุ้นที่แนะนำปีนี้ เป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ปรับลง กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง วัสดุก่อสร้าง สื่อสาร ดิจิตัล ซึ่งทั้ง 2 กลุ่มนี้ ปีนี้นโยบายรัฐบาลชัดเจนในเรื่องการสนับสนุนของรัฐบาลเป็นจะผลักดัน โดยเบื้องต้นคาดว่ามูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในปีนี้น่าจะอยู่ที่ 4.5 หมื่นล้านบาท