"ในส่วนของกำไรที่คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับรายได้ที่คาดว่าจะขยายตัวประมาณ 30% เนื่องจากมีการปรับพอร์ตสินเชื่อ ให้สามารถนำเสนอสินเชื่อให้กับลูกค้าจากสินเชื่อปลายน้ำเข้าสู่สินเชื่อกลางน้ำ ซึ่งให้มาร์จินในอัตราที่สูงกว่า ขณะเดียวกันภาระดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทปรับตัวลดลง เนื่องจากหลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ mai ทำให้สามารถใช้เครื่องมือทางการเงินที่หลากหลาย"นายสมพล กล่าว
นายสมพล คาดว่าพอร์ตสินเชื่อของบริษัทในปีนี้จะทะลุ 1 พันล้านบาท และเตรียมขยายฐานลูกหนี้เอกชนมากขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของสินเชื่อแฟคตอริ่ง เนื่องจากความต้องการของลูกค้ามีมากขึ้น แม้ภาพรวมเศรษฐกิจในปีนี้จะดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แต่ในแง่ของสถาบันการเงินยังไม่ค่อยกล้าปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าในกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) มากนัก ทำให้เป็นโอกาสของบริษัทที่จะขยายฐานลูกค้าในกลุ่มนี้ เพราะมีอัตรากำไรขั้นต้น (มาร์จิน) ค่อนข้างดี
อย่างไรก็ตาม ลูกค้าในกลุ่มนี้ก็มีความเสี่ยงเช่นกัน แต่จากประสบการณ์การดำเนินธุรกิจของบริษัทการบริหารความเสี่ยง และการคัดกรองลูกค้าที่มีประสิทธิภาพ เชื่อว่าจะทำให้ NPL ยังคงอยู่ในระดับต่ำ โดยในช่วงที่ผ่านมาหนี้เสียอยู่ในระดับต่ำกว่า 2% เมื่อเทียบกับสินเชื่อรวม ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม
ที่ผ่านมาบริษัทเปิดวงเงินสินเชื่อแฟคตอริ่งให้กับกลุ่มลูกค้ารายใหม่ๆที่เป็นเอสเอ็มอีวงเงินต่อเดือนเฉลี่ยประมาณ 60-70 ล้านบาท แต่ในปี 57 ภายใต้เศรษฐกิจที่ยังไม่ดีนัก บริษัทสามารถเพิ่มการให้วงเงินสินเชื่อแฟคตอริ่งรายใหม่ๆมากกว่า 100 ล้านบาท/เดือนติดต่อกันตลอด โดยล่าสุดในช่วงเดือนม.ค.58 บริษัทสามารถเพิ่มการให้วงเงินสินเชื่อแฟคตอริ่งรายใหม่ๆเพิ่มเป็น 200 ล้านบาท เนื่องจากความต้องการสินเชื่อของผู้ประกอบการเอสเอ็มอียังมีอีกมาก และมั่นใจว่าตลาดสินเชื่อแฟคตอริ่งยังมีโอกาสขยายตัวได้อีกมากด้วย
"กลยุทธ์ในปีนี้เราจะเข้าไปบุกตลาดสินเชื่อแฟคตอริ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพิ่มสัดส่วนการรับซื้อหนี้ภาคเอกชนให้สูงขึ้นควบคู่การรับซื้อหนี้ภาครัฐที่ LIT ทำได้ดีมาตลอดที่ผ่านมา โดยเห็นว่าปริมาณการรับซื้อหนี้การค้าที่มากขึ้นนี้จะช่วยให้บริษัทสามารถนำเสนอสินเชื่อกลางน้ำประเภทโปรเจกต์และเทรดไฟแนนซ์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าได้สูงขึ้น"นายสมพล กล่าว
สำหรับพอร์ตสินเชื่อของ LIT ในปี 56 ก่อนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ปล่อยสินเชื่อลิสซิ่ง และไฮ-เพอร์เชส ในสัดส่วน 50% สินเชื่อโปรเจกต์และเทรดไฟแนนซ์ 28% และสินเชื่อแฟคตอริ่ง 22% และในปี 57 LIT ปรับลดสัดส่วนสินเชื่อลิสซิ่งและไฮ-เพอร์เชส ลงเหลือ 39% สินเชื่อโปรเจกต์และเทรดไฟแนนซ์ ปรับเพิ่มเป็น 31% และสินเชื่อแฟคตอริ่งเพิ่มเป็น 30% เพื่อให้สามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้น ภายใต้ความเสี่ยงที่ได้ประเมินแล้วจากการใช้สินเชื่อปลายน้ำมาก่อนหน้านี้
ขณะที่พอร์ตสินเชื่อภาครัฐและเอกชนในปี 56 อยู่ในระดับ 80:20 แต่ในปี 57 ขยับเป็น 70:30 ขณะที่ในปีนี้บริษัทมีแผนคงสัดส่วนไว้ที่ระดับ 70:30 เช่นเดิม