ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กรและแนวโน้ม STEC ที่ “A-/Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday February 10, 2015 16:52 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น(STEC) ที่ระดับ“A-" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่"

อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะผู้นำตลาดของบริษัทที่เป็นหนึ่งในผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ 3 รายของประเทศ ตลอดจนสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ปริมาณงานในมือที่ยังไม่ส่งมอบจำนวนมากและค่อนข้างหลากหลาย รวมถึงผลงานที่ได้รับการยอมรับมานานทั้งจากลูกค้าภาครัฐและเอกชน อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากความไม่แน่นอนทางการเมืองซึ่งเพิ่มความเสี่ยงให้แก่ธุรกิจยิ่งขึ้น โดยอาจทำให้การประมูลโครงการใหม่ของภาครัฐเกิดความล่าช้าได้ นอกจากนี้ จุดแข็งของบริษัทยังถูกลดทอนลงจากความเสี่ยงของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่มีความผันผวนและเป็นวงจรขึ้นลง

ขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงดำเนินมาตรการควบคุมต้นทุนการดำเนินงานต่อไป นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะดำรงความแข็งแกร่งทางการเงินเพื่อลดทอนความเสี่ยงที่อาจเกิดจากการปรับเพิ่มขึ้นของต้นทุนการก่อสร้างและหรือจากปัญหาต้นทุนโครงการที่สูงเกินประมาณการเนื่องจากความล่าช้าของโครงการและจากปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่คาดไม่ถึง

ปัจจัยบวกด้านเครดิตคือกรณีที่บริษัทสามารถสร้างรายได้และกระแสเงินสดได้สูงกว่าประมาณการ ปัจจัยเสี่ยงอยู่ในกรอบจำกัดในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้าเมื่อพิจารณาถึงแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ของภาครัฐ แรงกดดันด้านต้นทุนการก่อสร้างที่อยู่ในระดับต่ำ และมูลค่าของงานในมือที่อยู่ในระดับสูง

STEC ก่อตั้งในปี 2505 โดยกลุ่มตระกูลชาญวีรกูล และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2535 บริษัทเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างชั้นนำของประเทศซึ่งมีสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในโครงการก่อสร้างของทั้งภาครัฐและเอกชน

บริษัทได้รับใบอนุญาตประเภทผู้รับเหมาชั้นหนึ่งจากหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจทุกแห่ง อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในผู้รับเหมาเพียงไม่กี่รายที่ผ่านเกณฑ์เบื้องต้นในการได้รับสิทธิเข้าประมูลโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ เมื่อพิจารณาจากผลงานที่ได้รับการยอมรับและการสนับสนุนจากสถาบันการเงินหลายแห่งแล้วน่าจะทำให้บริษัทมีโอกาสชนะการประมูลโครงการขนาดใหญ่ในอนาคตอีกหลายโครงการ นอกเหนือจากงานก่อสร้างสาธารณูปโภคแล้ว บริษัทยังมีความชำนาญในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าและโรงงานปิโตรเคมี รวมถึงมีความสามารถในการรับงานท่อและงานประกอบและติดตั้งโครงสร้างเหล็กด้วย

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 บริษัทมีรายได้จากโครงการภาครัฐ 51% และส่วนที่เหลือมาจากโครงการภาคเอกชน หากแบ่งตามประเภทของโครงการแล้ว รายได้จากงานก่อสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานคิดเป็นสัดส่วนราวครึ่งหนึ่งของรายได้ของบริษัท ตามด้วยงานก่อสร้างอาคาร (25%), งานก่อสร้างด้านพลังงาน (19%), และงานก่อสร้างด้านอุตสาหกรรม (7%) ทั้งนี้ สัดส่วนโครงสร้างรายได้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในแต่ละช่วงเวลา

ณ สิ้นเดือนกันยายน 2557 บริษัทมีมูลค่างานในมือที่ยังไม่ส่งมอบจำนวน 4 หมื่นล้านบาท ลดลงจาก 5.27 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นปี 2556 ตามการลดลงของงานใหม่ที่บริษัทได้รับและลงนามในสัญญาในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 โดยการลดลงดังกล่าวสอดคล้องกับการหดตัวของการลงทุนจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ทั้งนี้ หากนับรวมมูลค่างานใหม่ที่ได้รับและลงนามในสัญญาในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2557 แล้ว คาดว่ามูลค่างานในมือที่ยังไม่ส่งมอบของบริษัท ณ สิ้นปี 2557 จะเพิ่มขึ้นเป็น 4.85 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะช่วยประกันรายได้ประมาณ 70% ของคาดการณ์รายได้ในช่วง 3 ปีข้างหน้าที่คาดว่าจะอยู่ที่ปีละ 2.1-2.4 หมื่นล้านบาท

ในเดือนธันวาคม 2557 บริษัทได้เข้าร่วมยื่นซองประมูลโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียว (หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) และเป็นผู้เสนอราคาต่ำที่สุดสำหรับสัญญา 3 และสัญญา 4 มูลค่ารวม 6.9 พันล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะมีการลงนามในสัญญาในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2558 โดยมูลค่างานดังกล่าวไม่ได้ถูกนับรวมอยู่ในมูลค่างานในมือที่ยังไม่ส่งมอบจำนวน 4.85 หมื่นล้านบาท

ผลการดำเนินงานและสถานะทางการเงินของบริษัทในปี 2556 จนถึงช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 เป็นไปตามที่ทริสเรทติ้งคาดไว้ โดยยังคงเข้มแข็งจากความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่งและภาระหนี้สินที่อยู่ในระดับต่ำ ในขณะที่มีสภาพคล่องอยู่ในระดับสูง อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 8.8% ในปี 2556 และ 9.6% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 3 ปีย้อนหลังที่ 7.9% อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนทรงตัวอยู่ในระดับต่ำเพียง 2.9% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2557

สภาพคล่องยังคงแข็งแกร่ง สะท้อนจากอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมและอัตราส่วนกำไร (ก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย) ต่อดอกเบี้ยจ่ายที่อยู่ในระดับสูง โดยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมอยู่ที่ 809.6% (ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปี) ขณะที่อัตราส่วนกำไรต่อดอกเบี้ยจ่ายอยู่ที่ 109.8 เท่าในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 บริษัทมีการลงทุนในเครื่องจักรและอุปกรณ์ไม่มากนัก อีกทั้งยังมีความต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานค่อนข้างน้อย โดยเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทได้รับการสนับสนุนบางส่วนจากเงินรับล่วงหน้าตามสัญญาก่อสร้างจากเจ้าของโครงการและเครดิตการค้าจากผู้จัดส่งวัสดุอุปกรณ์

ในช่วงปี 2557-2560 ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 2.1-2.4 หมื่นล้านบาทต่อปี และอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานจะอยู่ที่ 7%-9% ซึ่งจะทำให้เงินทุนจากการดำเนินงานอยู่ที่ 1.5-1.9 พันล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ ในการประเมินอันดับเครดิต ณ ปัจจุบันของบริษัทได้พิจารณาถึงกรณีที่บริษัทอาจมีระดับการก่อหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นจากการลงทุนในโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ด้วย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากบริษัทมีเงินสดสุทธิหลังหักภาระหนี้คงเหลือจำนวนมาก จึงทำให้บริษัทยังมีความสามารถในการก่อหนี้สำหรับการลงทุนในอนาคตได้ในระดับหนึ่ง โดยคาดว่าแม้บริษัทจะลงทุนโดยใช้เงินกู้ยืม แต่บริษัทก็ยังคงสามารถรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนให้ต่ำกว่าระดับ 30% เอาไว้ได้ และแม้ระดับกระแสเงินสดเมื่อเทียบกับภาระหนี้อาจลดลงบ้างตามการเพิ่มขึ้นของระดับการก่อหนี้ แต่คาดว่าสถานะสภาพคล่องจะยังคงแข็งแกร่งและสอดคล้องกับอันดับเครดิต ณ ปัจจุบันของบริษัท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ