โดยจุดเด่นของ WTI Oil Futures ที่ลงทุน คือ เป็นสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่ได้รับความนิยมและมีสภาพคล่องสูงเพื่อสามารถทำการซื้อขายได้เกือบทั้งวัน ทำให้กองทุนฯ มีสภาพคล่องในการซื้อขายเพื่อบริหารจัดการให้สอดคล้องไปกับสภาวะการณ์ของการลงทุนนั้นๆ
ทั้งนี้ ประเมินว่าราคาน้ำมันดิบในปัจจุบันน่าจะผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปเรียบร้อยแล้ว และ Downside Risk ของราคาน้ำมันดิบเริ่มจำกัดมากขึ้น หลังปริมาณการขุดเจาะน้ำมันของสหรัฐอเมริกา (Rig Count) เริ่มลดลง รวมทั้งแรงสนับสนุนจากความขัดแย้งระหว่างประเทศที่เริ่มปะทุขึ้นในช่วงนี้ ซึ่งจะผลักดันให้ราคาน้ำมันแกว่งตัวมีโอกาสปรับตัวขึ้นในช่วงระยะสั้นใกล้ๆ นี้ได้
ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก หลักๆ แล้วมาจากอุปทานน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก ซึ่งแตกต่างจากสถานการณ์ในอดีต เนื่องจากอุปทานน้ำมันที่เพิ่มขึ้นนั้นมีสาเหตุมาจากการผลิตน้ำมันของสหรัฐอเมริกาที่ขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนแตะระดับ 1.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยเฉพาะ Shale Oil ซึ่งสร้างแรงกดดันให้กลุ่ม OPEC ที่อาจถูกแย่งส่วนแบ่งตลาดของน้ำมันดิบให้ปรับลดลง ส่งผลให้กลุ่ม OPEC ซึ่งรวมถึงซาอุดิอาระเบีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีกำลังการผลิตน้ำมันสูงสุดในกลุ่ม OPEC ตัดสินใจไม่ปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันลงเพื่อแสดงท่าทีและไม่ยอมสูญเสียส่วนแบ่งตลาดระดับโลก ซึ่งต่างกับในอดีตที่ผ่านมาที่กลุ่ม OPEC สามารถควบคุมการผลิตและราคาน้ำมันได้เป็นหลัก ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มกังวลว่าอาจมีอุปทานน้ำมันส่วนเกินในอนาคตและกดดันให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดปรับลดลง
แต่อย่างไรก็ดี มองว่าราคาน้ำมันในขณะนี้น่าจะเริ่มทรงตัวได้และเริ่มมี Downside Risk ของราคาน้ำมันที่ปรับลดลงจำกัดมากขึ้น เนื่องจากตัวเลขการขุดเจาะน้ำมันของสหรัฐอเมริกา (Rig Count) เริ่มปรับลดลงในเดือน ม.ค. 58 ทำให้ตลาดเริ่มคาดหมายว่าปริมาณน้ำมันในสินค้าคงคลังของสหรัฐอเมริกามีแนวโน้มปรับตัวลดลงตาม ซึ่งจะช่วยลดทอนปริมาณการผลิตน้ำมันในระบบเศรษฐกิจให้ลดลง ขณะที่ในด้านของราคาน้ำมันเอง จะพบว่าราคาในปัจจุบันที่ประมาณ 46-50 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรลได้ปรับลดลงมามากจนใกล้แตะระดับราคาต่ำสุดของราคาน้ำมันในอดีต รวมทั้งเป็นระดับราคาใกล้เคียงกับต้นทุนการผลิตน้ำมันของสหรัฐอเมริกาและหลายๆ ประเทศที่อยู่ประมาณ 40 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรล ทำให้ผู้ผลิตบางแห่งน่าจะชะลอการแข่งขันและปรับลดปริมาณการผลิตลงเพื่อประคับประคองกำไรจากการดำเนินงาน
ในระยะสั้นราคาน้ำมันอาจปรับเพิ่มขึ้นได้จากปัจจัยการแข่งขันและความขัดแย้งทางภูมิศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศของทางสหรัฐอเมริกาและกลุ่ม OPEC รวมทั้งความรุนแรงระหว่างการสู้รบของจอร์แดนและกลุ่มไอเอส หลังจากที่เหตุการณ์เริ่มส่งสัญญาณรุนแรงมากขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านมา แม้ว่าปัจจัยพื้นฐานของราคาน้ำมันดิบที่แท้จริง จะไม่ได้เติบโตในอัตราเร่งมากนัก เนื่องจากเศรษฐกิจโลกปัจจุบันยังคงมีแนวโน้มเติบโตอย่างช้าๆ ค่อยเป็นค่อยไปมากกว่า โดยผมประเมินว่าระดับราคาน้ำมันที่เหมาะสมในช่วงเวลาใกล้ๆ นี้ น่าจะอยู่ที่ประมาณ 60-70 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรล ขณะที่ในระยะยาว ราคาน้ำมันดิบอาจขยับขึ้นอยู่ในกรอบประมาณ 70-80 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรล
ทั้งนี้ แม้ว่าระดับราคาน้ำมันดิบจะปรับตัวขึ้นมาบ้างเล็กน้อยก็ตาม แต่มองว่าด้วยอุปทานน้ำมันที่เริ่มลดลง ประกอบกับระดับราคาน้ำมันที่เริ่มแตะระดับต้นทุนน้ำมันดิบอย่างที่กล่าวข้างต้นแล้ว ทำให้มองว่า Downside Risk ของราคาน้ำมันดิบที่จะปรับตัวลดลงเริ่มจำกัดมากขึ้น แต่ด้วยยังมีความเสี่ยงจากปริมาณความต้องการบริโภคน้ำมันที่ไม่ได้เติบโตเร็วมากนักและความเสี่ยงต่อปริมาณการผลิตน้ำมันที่ยังไม่ลงตัว ทำให้แนะนำว่ากลยุทธ์การลงทุนในน้ำมันดิบช่วงนี้ ควรเน้นการลงทุนเชิงรุกหรือ Active management เพื่อสร้างผลตอบแทนเป้าหมายจากการลงทุนในช่วงที่ตลาดแกว่งตัวตามจังหวะราคาน้ำมันดิบ