PACE คาดทยอยรับรู้ฯ โครงการในมือ"มหานคร-มหาสมุทร-หลังสวน"ตั้งแต่ปี 58

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday February 11, 2015 16:04 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสรพจน์ เตชะไกรศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น (PACE) เปิดเผยว่า จะเริ่มทยอยรับรู้รายได้ โครงการอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบัน ของ PACE ได้แก่ มหานคร มหาสมุทร และหลังสวน ได้ตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นไป
ในส่วนงานก่อสร้างโครงการมหานครมีความคืบหน้าตามลำดับ โดยโครงการมหานครให้ความสำคัญกับการก่อสร้างเป็นอย่างมากเนื่องจากอาคารหลักมีความสูงถึง 77 ชั้น หรือ 314 เมตร ซึ่งจะกลายเป็นอาคารที่สูงที่สุดในกรุงเทพฯ จึงต้องให้ความสำคัญกับฐานรากและแกนโครงสร้างเพื่อความมั่นคงแข็งแรงของอาคาร

ขณะนี้แกนโครงสร้างของอาคารหลักโครงการมหานคร การก่อสร้างเสร็จกว่า 75% ตอนนี้ถึงชั้น 66 เหลืออีก 11 ชั้น และ หลังจากเราเปลี่ยนกรรมสิทธิ์การถือครองของโครงการเป็น freehold ยอดขายเรสซิเดนซ์ฯ ตอนนี้ก็พุ่งแตะ 70% ซึ่งยอดขายนี้จะเริ่มรับรู้รายได้ในปลายปี 58นี้

ทั้งนี้ โครงการมหานครเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ รูปแบบมิกซ์-ยูส ประกอบด้วย ห้องชุดพักอาศัย เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน เรสซิเดนเซส บางกอก จำนวน 200 ห้อง ราคาขายตั้งแต่ 45-300 ล้านบาท และบูทีคโฮเต็ล เดอะ บางกอกเอดิชั่นจำนวน 159 ห้อง นอกจากนี้ ยังมี มหานคร คิวบ์ อาคารไลฟ์สไตล์ รีเทล เซ็นเตอร์ ขนาด 7 ชั้น ที่เน้นบริการด้านร้านอาหาร และสกาย ออบเซอเวชั่น เด็ค(Sky Observation Deck) ซึ่งจะเป็นจุดชมวิวแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ

สำหรับโครงการมหานคร ตั้งอยู่บนพื้นที่ 9 ไร่ ใจกลางศูนย์กลางธุรกิจติดกับสถานีรถไฟฟ้าช่องนนทรี เชื่อมโยงระหว่างถนนสีลมและสาทร แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ มหานคร คิวบ์ ซึ่งเปิดให้บริการไปแล้วเมื่อปลายปี 2556 และส่วนที่สอง เป็นในส่วนของที่พักอาศัย โรงแรม และอื่นๆ ที่จะทยอยเสร็จตามมาเป็นลำดับ

นายสรพจน์ กล่าวว่า สำหรับเดอะริทซ์-คาร์ลตัน เรสซิเดนเซส บางกอก ในโครงการมหานคร ล่าสุดมียอดขายแล้วถึง 70% ของจำนวนห้องทั้งหมด โดยนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศให้การตอบรับดีมาก หลังจากผู้ซื้อได้ถือครองกรรมสิทธิ์สมบูรณ์(ฟรีโฮดล์) ซึ่งเปลี่ยนแปลงจากเดิมที่บริษัทจะขายในรูปแบบการเช่าระยะยาว(ลีสโฮลด์) ทำให้ผู้ซื้อมีความเชื่อมั่นที่จะเข้ามาลงทุนในโครงการที่กำลังจะเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ

นอกจากนี้ บริษัทยังมีรายได้จากธุรกิจรีเทล หลังจากก่อนหน้านี้ได้เข้าซื้อแบรนด์อาหารและเครื่องดื่มกูร์เม่ต์ระดับโลกอย่าง “ดีน แอนด์ เดลูก้า" ในมูลค่า 140 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 4.55 พันล้านบาท ซึ่งจะช่วยหนุนให้บริษัทมีแหล่งรายได้ที่มั่นคง และสามารถนำมาเสริมธุรกิจหลัก คืออสังหาริมทรัพย์ และยังสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าระดับบนที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์คุณภาพระดับโลกของเพซอีกด้วย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ