พร้อมตั้งเป้ายอดขายที่ 1.3 หมื่นล้านบาท หรือเติบโต 52% โดยบริษัทวางแผนเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ 7 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 1.4 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นบ้านเดี่ยวระดับพรีเมี่ยม 4 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 6 พันล้านบาท คอนโดมิเนียม 3 โครงการ มูลค่ารวม 7.66 พันล้านบาท ขณะที่ปัจจุบันบริษัทมีโครงการที่เหลือขายในมือ 32 โครงการ มูลค่าโครงการคงเหลือขายรวม 2.29 หมื่นล้านบาท
SC ยังตั้งเป้ารายได้ใน 5 ปีข้างหน้า(ปี 58-62)แตะ 2 หมื่นล้านบาทตามแผนยุทธศาสตร์ที่บริษัทได้มีการวางไว้เพื่อสร้างการเติบโตให้กับรายได้ของบริษัทอย่างต่อเนื่องตลอด 5 ปีจากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โดยการรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดบ้านเดี่ยวในระดับพรีเมียม และพร้อมที่จะรุกเข้าไปยังตลาดบ้านระดับราคาใหม่ๆ ที่บริษัทยังไม่เคยเข้าไป
นอกจากนี้ บริษัทตั้งเป้าอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ในปี 62 เป็น 15% จากคาดว่าอัตรากำไรสุทธิในปีนี้จะอยู่ที่ราว 12% ซึ่งบริษัทจะเน้นการบริหารจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ประกอบกับการใช้เทคโนโลยีพรีคาสที่จะนำมาใช้มากขึ้น โดยเฉพาะโครงการที่บริษัทจะเข้าไปรุกตลาดมากขึ้นในระดับราคา 3-5 ล้านบาท โดยจะเริ่มในปีนี้ในการพัฒนาแบรนด์ใหม่ชื่อว่า PAVE ซึ่งโครงการแรกเป็นโครงการแนวราบที่รังสิต-คลองสี่
สำหรับแนวโน้มภาคอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ คาดว่าจะมีการเติบโตได้ 5-10% โดยเซกเม้นท์ที่โตจะเป็นโครงการบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียมในระดับราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาท โดยตลาดในกรุงเทพฯจะมีกำลังซื้อที่ฟื้นตัวขึ้น จากภาวะเศรษฐกิจที่ค่อยๆดีขึ้น ประกอบกับการลงทุนของภาครัฐในการลงทุนรถไฟฟ้า ทำให้ตลาดในกรุงเทพฯมีความน่าสนใจมากขึ้น แต่ในตลาดต่างจังหวัดคาดว่ากำลังซื้อยังใช้เวลาในการฟื้นตัว เนื่องจากได้รับผลกระทบจากราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ ทั้งนี้ทำให้ตลาดในต่างจังหวัดยังไม่มีความน่าสนใจในขณะนี้ อีกทั้งบริษัทยังไม่มีแผนการเข้าไปรุกตลาดในต่างจังหวัด
ส่วนผลประกอบการในปี 57 บริษัทคาดว่า รายได้ทำได้สูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 1.2 หมื่นล้านบาท 20% แต่ยอดขายของบริษัททำได้ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1 หมื่นล้านบาท มาอยู่ที่ 8.5 พันล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีการเลื่อนเปิดโครงการในปีก่อน 2 โครงการมาเปิดในปีนี้ ประกอบกับกำลังซื้อที่อ่อนตัวในปีก่อนทำให้ยอดขายของบริษัททำได้ต่ำกว่าเป้า
ด้านนายอรรถพล สฤษฎิพันธาวาทย์ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการเงิน SC กล่าวว่า ปี 58 บริษัทวางงบซื้อที่ดินไว้ที่ 5.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ใช้งบซื้อที่ดินไป 4.8 พันล้านบาท โดยที่ดินที่จะซื้อในปีนี้นั้นเพื่อรองรับการพัฒนาโครงการที่จะเกิดขึ้นในปี 60 โดยในเร็วๆนี้บริษัทจะมีการปิดดีลการซื้อที่ดินจำนวน 2 แปลงในกรุงเทพฯ อีกทั้งบริษัทตั้งงบสำหรับใช้ในการก่อสร้างโครงการในปีนี้ไว้ที่ 7.8 พันล้านบาทอีกด้วย
ทั้งนี้ ในช่วงกลางปีนี้ บริษัทจะมีการออกหุ้นกู้เพื่อทดแทนหุ้นกู้เดิมที่ครบกำหนดอายุ โดยคาดว่าจะออกหุ้นกู้ชุดใหม่มูลค่ามากกว่า 3 พันล้านบาท อายุ 3 ปี โดยบริษัทมองว่าในปีนี้การออกหุ้นกู้ที่อาจจะมากกว่า 3 พันล้านบาทนั้นมาจากสภาวะตลาดที่เอื้ออำนวย ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่ต่ำและยังไม่มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทไม่เพิ่มขึ้นมาก โดยปัจจุบันบริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่ 1.6%