ปัจจุบันบริษัทกำลังศึกษาและพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าหลายแห่งในภาคใต้ ตลอดจนศึกษาโครงการเพื่อเข้าซื้อกิจการโรงไฟฟ้าประมาณ 3-5 โครงการ ซึ่งเป็นไปตามแผนการดำเนินธุรกิจที่บริษัทได้ตั้งเป้าหมายไว้คือเข้าซื้อกิจการที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับธุรกิจใหม่ของบริษัทที่จะมีกำลังการผลิต 150-200 เมกะวัตต์ภายใน 3-5 ปีข้างหน้า
สำหรับการลงทุนยังคงเป็นไปตามแผน โดยบริษัทใช้เงินที่ได้จากการระดมทุนในช่วงที่ผ่านมา จัดสรรเงินจำนวน 600-700 ล้านบาท ไปลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลที่บริษัทพัฒนาขึ้นมาแล้ว ได้แก่ โครงการพัทลุงกรีน สตูลกรีน และปัตตานีกรีน ส่วนที่เหลืออีก 300-400 ล้านบาท จะใช้เป็นทุนหมุนเวียนและใช้ในการซื้อกิจการทั้งในและต่างประเทศ
ล่าสุด คณะกรรมการบริษัทยังอนุมัติให้บริษัทย่อยเข้าทำสัญญาว่าจ้างก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล ขนาดไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ ระหว่างบริษัท พัทลุง กรีน เพาเวอร์ จำกัด กับ บมจ.ไทยโพลีคอนส์ (TPOLY) ภายใต้เงินงบประมาณจำนวน 648 ล้านบาท และให้บริษัท สตูล กรีน เพาเวอร์ จำกัด เข้าทำสัญญาว่าจ้างก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล ขนาดไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ กับ TPOLY ภายใต้วงเงินงบประมาณรวมจำนวน 648 ล้านบาท โดยบริษัทคาดว่าการเข้าทำสัญญาดังกล่าวจะมีขึ้นภายหลังจากที่บริษัทได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นเรียบร้อยแล้ว
นายเชิดศักดิ์ กล่าวว่า การที่รัฐบาลปรับรูปแบบการรับซื้อไฟฟ้าเป็นระบบ Feet in Tariff (FiT) จะช่วยสนับสนุนให้ผลประกอบการของบริษัทในอีก 5 โครงการซึ่งมีกำลังการผลิต 50 เมกะวัตต์ เติบโตแบบก้าวกระโดดในระยะเวลาสั้น เพราะอัตราการทำกำไรจะเพิ่มสูงขึ้นเกือบเท่ากับ 45-50% ของรายได้ และจะทำให้โครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลจะมีระยะเวลาคืนทุนที่เร็วขึ้น ก็จะทำให้บริษัทมีเงินทุนหมุนเวียนไปพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่อง
ส่วนผลประกอบการในปีที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้รวม 258.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม และมีกำไรสุทธิ 28.49 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 131% จากปีก่อน โดยปัจจุบัน TPCH มีกำลังการผลิต 10 เมกะวัตต์ และจะทยอยเพิ่มขึ้นเป็น 150 เมกะวัตต์ ภายใน 3 ปี ข้างหน้า ซึ่งเร็วกว่าแผนเดิมที่บริษัทได้วางเอาไว้
ขณะที่โครงการโรงไฟฟ้าช้างแรก สามารถผลิตไฟฟ้าทั้งปีได้ไม่ต่ำกว่า 8,000 ชั่วโมง ซึ่งคิดเป็นประสิทธิภาพในการเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าที่ 91% ถือได้ว่าเป็นประสิทธิภาพที่ดีมาก จากเป้าหมายเดิมที่ ตั้งเป้าไว้ 7,800 ชั่วโมง