ส่วนราคาน้ำมันในปี 58 คาดว่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 50-60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจากภาวะอุปทานล้นตลาด จากการผลิต Shale Oil ของสหรัฐที่เพิ่มขึ้นมาก และการผลิตน้ำมันของโอเปกยังอยู่ในระดับสูง แต่คาดว่าราคาจะค่อยๆปรับเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับลดลงมากนี้จะทำให้ผู้ผลิตมีต้นทุนการผลิตสูงปรับลดการผลิตลง ซึ่งจะช่วยลดภาวะอุปทานส่วนเกินจากตลาดน้ำมัน รวมทั้งจะช่วยกระตุ้นความต้องการใช้น้ำมันให้เพิ่มขึ้น
สำหรับราคาผลิตภัณฑ์กลุ่มโอเลฟินส์และกลุ่มอะโรเมติกส์ ในปี 58 มีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลง จากสภาพอุปทานส่วนเกิน โดยเฉพาะจากจีน ส่งผลให้ราคา HDPE คาดว่าจะอยู่ที่ 1,145 เหรียญสหรัฐ/ตัน และราคา PP คาดว่าจะอยู่ที่ 1,062 เหรียญสหรัฐ/ตัน เช่นเดียวกับราคาผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ที่คาดว่าจะมีแนวโน้มลดลง จากสภาพอุปทานส่วนเกินซึ่งสะสมต่อเนื่องจากปีก่อน โดยราคา BZ คาดว่าจะอยู่ที่ 720 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากกำลังการผลิตใหม่ที่จะเข้าสู่ตลาดโดยเฉพาะจากเกาหลีใต้ จีน และสิงคโปร์ และในส่วนของราคา PX คาดว่าจะอยู่ที่ 856 เหรียญสหรัฐ/ตัน
ทั้งนี้ PTT ระบุว่า ในปี 57 มีกำไรสุทธิ 5.58 หมื่นล้านบาท ลดลง 40.1% จากปีก่อน โดยปัจจัยหลักมาจากในช่วงไตรมาส 4/57 ที่รับรู้ผลขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ของกลุ่มปตท จำนวน 3.67 หมื่นล้านลาท และบมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม(PTTEP) มีค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายเพิ่มสูงขึ้นตามปริมาณการผลิตและสินทรัพย์พร้อมใช้งานที่เพิ่มขึ้น แต่รายการดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อกระแสเงินสดของกลุ่มปตท.
ปตท.และบริษัทย่อยยังคงมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย,ภาษี,ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย(EBITDA) เพิ่มขึ้นจากปีก่อนจากผลการดำเนินงานของปตท.ในธุรกิจก๊าซธรรมชาติที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตามผลกระทบจากการขาดทุนสต็อกน้ำมันและ spread margin ของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่ลดลง ส่งผลให้ผลการดำเนินงานของบริษัทร่วมในกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นลดลงจากปีก่อนอย่างมีนัยสำคัญ