"ความร่วมมือครั้งนี้จะทำให้บริษัทสามารถใช้กำลังการผลิตที่ยังว่างอยู่ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการผลิตโดยรวมของทุกสินค้าของบริษัทได้ นอกจากนี้ ยังเป็นการลดค่าใช้จ่ายด้านการจัดซื้อวัตถุดิบจากการจัดซื้อวัตถุดิบบางชนิดที่สามารถใช้ร่วมกัน ลดค่าใช้จ่ายด้านการขนส่ง(โลจิสติกส์) โดยการจัดส่งสินค้าร่วมกัน รวมทั้งจะมีการทำวิจัยและพัฒนาสินค้าร่วมกัน และมีการแลกเปลี่ยนความรู้และเทคโนโลยีการผลิตอาหารสัตว์ร่วมกับทาง"นูทริกซ์" ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการขยายตลาดในอนาคต"นายโรจน์ภันธ์ กล่าว
ทั้งนี้ การปรับแผนธุรกิจโดยหันมารุกตลาดผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงมากขึ้น เนื่องจากเล็งเห็นศักยภาพการเติบโตของอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงชนิดเม็ดของตลาดโลกที่มีปริมาณความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นทุกปี ดังนั้น จึงมีแนวนโยบายจะพัฒนากระบวนการผลิตที่โรงงานเพชรบุรีและโรงงานใหม่สงขลาให้มีความสามารถรองรับการผลิตสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงประเภทนี้ควบคู่ไปกับการผลิตอาหารปลาด้วย
"การผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงที่มีมาตรฐานที่สูงกว่านี้จะมาช่วยยกระดับระบบ Food Safety ของโรงงานทั้ง 2 แห่งให้สินค้ามีมาตรฐานและคุณภาพที่สูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่บริษัทเน้นมาตลอด โดยบริษัทจะเริ่มผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงนี้ได้ภสยในเดือนมี.ค."นายโรจน์ภันธ์ กล่าว
ขณะที่บริษัทศึกษาแผนงานการสร้างโรงงานแห่งใหม่เพื่อรองรับการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง หากได้รับออรเดอร์เพิ่มเข้ามาต่อเนื่อง หลังจากที่ได้ออเดอร์ล็อตแรกจาก"นูทริกซ์" ซึ่งมีสัญญเป็นเวลา 3 ปี (58-60) โดยจะมีการกำหนดขนาดของโรงงานหรืองบลงทุนในช่วงสิ้นปีนี้ หลังจากที่เร่งกำลังการผลิตให้ "นูทริกซ์"ไปแล้ว ส่วนพื้นที่ที่คาดว่าจะสร้างเในที่ดินของบริษัทที่มีอยู่แล้วใน เพชรบุรี สงขลา หรือ สมุทรสงคราม ซึ่งจะสามารถขยายได้ทันที
ขณะที่งบลงทุนไม่มีปัญหาเพราะมีการเพิ่มทุนให้ผูถือหุ้นเดิม (RO) และการเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง (PP) ซึ่งจะขอมติผู้ถือหุ้นในเดือนเม.ย.นี้ หากทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดการณ์ก็จะมีเงินเข้ามา 1 พันล้านบาทสำหรับขยายการลงทุน นายโรจน์ภันธ์ กล่าวอีกว่า ในปี 58 มั่นใจจะพลิกเป็นกำไร จากธุรกิจผลิตอาหารกุ้ง อาหารปลา ที่เป็นธุรกิจเดิมของบริษัท โดยเฉพาะปีนี้อุตสาหกรรมกุ้งฟื้นตัว และมีออเดอร์จาก"นูทริกซ์"เข้ามาเสริมเป็นแรงบวกให้กับผลประกอบการ ซึ่งออเดอร์ใหม่ที่เข้ามาทำให้ต้นทุนบริษัทลดลงอีก ขณะที่าครัฐคาดการณ์ผลผลิตกุ้งเพิ่มขึ้นมาที่ 3 แสนตันจากปีก่อน 2 แสนตัน ทำให้บริษัทต้องเพิ่มกำลังการผลิตอาหารกุ้งเป็น 4-5 พันตัน/เดือน จาก 1 พันตัน/เดือนในปีก่อน นอกจากนี้ บริษัทยังมีการผลิตอาหารปลา ซึ่งโตต่อเนื่องทุกปี
ปัจจุบัน บริษัทมีสัดส่วนรายได้จากอาหารปลา คิดเป็น 65% อาหารกุ้ง 35% ส่วนในปี 58 จะมีสัดส่วนรายได้จากอาหารสัตว์เลี้ยงเพิ่มเข้ามา
"ในอดีตยอดขายจากอาหารกุ้งเป็นการสร้างผลกำไรให้กับบริษัท แต่ปีที่ผ่านมากุ้งซบเซา ทำให้บริษัทขาดทุน แต่ปีนี้ผลผลิตกุ้งฟื้น ทำให้มั่นใจว่าธุรกิจอาหารสัตว์น้ำจะกลับมาสร้างผลกำไรให้บริษัท ส่วนวันนี้ที่รุกเข้าไปในอาหารสัตวเลี้ยงก็เป็นโอกาสดี แต่ยืนยันยังไม่ทิ้งการผลิตอาหารสัตว์น้ำ" นายโรจน์ภันธ์ กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทยังเปิดกว้างรับออเดอร์หากจะให้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงให้เพื่อการขยายธุรกิจในอนาคต
สำหรับผลประกอบการในปี 57 บริษัทตั้งเป้ารายได้ 2.5-2.6 พันล้านบาท ขณะที่ 9 เดือนมีรายได้ 1.5 พันล้านบาท และขาดทุนที่ 7 ล้านบาท ส่วนทั้งปีจะเป็นกำไรหรือไม่ คงต้องรอตัวเลขที่จะประกาศในวันพรุ่งนี้ก่อน