ส่วนผลประกอบการในปี 57 บริษัทฯมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 58.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน หรือมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 494 ล้านบาท เป็นผลมาจากปริมาณการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงที่เติบโตขึ้นมาอยู่ที่ 1,851 ล้านลิตร หรือเพิ่มขึ้น 17.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนและอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 5.6% เนื่องจากสัดส่วนการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงผ่านสถานีบริการแบบ COCO ที่เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งค่าการตลาดที่ผ่านมาอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
นอกจากนี้ในปี 57 บริษัทฯ มีอัตราหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 0.83 เท่า ลดลงจากปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 0.86 เท่า และบริษัทฯ มีอัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนอยู่ที่ 0.29เท่า บริษัทฯ มีหนี้สินอยู่ในระดับต่ำและยังสามารถกู้ยืมเพิ่มเติมเพื่อขยายธุรกิจในอนาคตได้
ในส่วนของรายได้จากการขายและบริการของบริษัทในงวดปี 57 ก็ยังเพิ่มขึ้นถึง 15.5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยมีรายได้อยู่ที่ 55,124 ล้านบาท ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศฟื้นตัวได้ช้า สืบเนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่แน่นอนในครึ่งปีแรกของปี ประกอบกับราคาน้ำมันในตลาดโลกในไตรมาส 4/57 ลดลงมาค่อนข้างมากแต่บริษัทฯ ก็ยังสามารถที่จะมีผลประกอบการทั้งในส่วนของรายได้และกำไรที่เพิ่มขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการบริหารการจัดการของบริษัทฯ ในทุกๆด้าน
“ช่วงปี 57 ที่ผ่านมา พีทีจี มุ่งมั่นขยายสถานีบริการน้ำมันที่ได้มาตรฐานครอบคลุมทั่วประเทศเพื่อให้ผู้ใช้บริการได้ใช้น้ำมันที่มีคุณภาพ และได้รับบริการที่ดี โดยในปี 57 บริษัทฯ มีสถานีบริการน้ำมันทั้งหมด 951 สถานี ครอบคลุม 96% ของจังหวัดทั้งหมด และครอบคลุม 53% ของอำเภอทั้งหมดในประเทศไทย โดยบริษัทฯ ยังคงเน้นการขยายสถานีบริการน้ำ0มันที่ทางบริษัทฯ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์และเป็นผู้บริหารงานเอง (COCO: Company Owned Company Operated) เพื่อควบคุมคุณภาพของน้ำมันเชื้อเพลิง และมาตรฐานการบริการ ปัจจุบันบริษัทฯ ได้เพิ่มช่องทางการให้ บริการและเข้าถึงกลุ่มผู้ ใช้ บริการมากขึ้น โดยเข้ ปรับปรุงจุดพักรถ (Rest Area) ทั้ง 2 แห่ง ที่เขาโพธิ์จ.ประจวบคีรีขันธ์ และที่มโนรมย์จ.ชัยนาท ให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน โดยคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการในส่วนของ Community Mall ในจุดพักรถทั้ง 2 แห่ง ภายในกลางปี 58" นายพิทักษ์กล่าว