จากนั้น เมื่อบริษัทสามารถขายคอนโดฯ ดังกล่าวได้ถึง 60-70% ของจำนวนยูนิตทั้งหมดแล้ว ก็จะเริ่มเดินหน้าโครงการที่ 3 โดยขณะนี้อยู่ระหว่างมองหาทำเลในการจัดซื้อที่ดิน คาดว่าจะใช้เวลาพัฒนาไม่เกิน 1 ปี
นอกจากนั้น บริษัทยังจะใช้เงินลงทุนราว 400 ล้านบาทในโครงการร่วมทุน ซึ่งโครงการแรกจะจับมือกับพันธมิตรผู้รับเหมารายใหญ่ของกัมพูชาจัดตั้งโรงงานผลิตแผ่นพื้น โดย DCON จะเข้าถือหุ้นไม่เกิน 49% คาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณไม่เกิน 18 ล้านบาท
"โปรเจคนี้ถือว่าไม่ใหญ่ และดูจะล้าหลังด้วยซ้ำเหมือนเมื่อสมัย 20-30 ปีที่แล้วของเมืองไทย เพราะเราจะไม่ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย"นายวิทวัส กล่าว
ส่วนโครงการที่ 2 เป็นการร่วมทุนกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อตั้งโรงงานผลิตผนังสำเร็จรูปและแผ่นพื้นสำเร็จรูป(Precast) DCON จะถือหุ้นในสัดส่วน 60% คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 180 ล้านบาท และพันธมิตรจะถือหุ้นในสัดส่วน 40% โดยมูลค่าโครงการทั้งหมดอยู่ที่ราว 600 ล้านบาท ซึ่งอาจจะใช้เงินกู้จากสถาบันการเงินราว 300 ล้านบาท
"โครงการร่วมทุนทั้งสองโครงการนี้ บริษัทฯจะให้บอร์ดพิจารณาในวันพฤหัสนี้(26 ก.พ.)ซึ่งทั้งสองโครงการถือว่าไม่ได้ใหญ่"นายวิทวัส กล่าว
ประธานกรรมการบริหาร DCON กล่าวว่า บริษัทยังอยู่ระหว่างการพิจารณาร่วมลงทุนในธุรกิจพลังงานทดแทนด้วย โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 200 ล้านบาท ซึ่งอาจจะเป็นโครงการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพและชีวมวล รวมถึงสนใจลงทุนแตกไลน์ธุรกิจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรด้วย
"เบื้องต้นก็ได้มีการพูดคุยกับผู้ร่วมทุนที่จะทำธุรกิจพลังงานทดแทนแล้ว ซึ่งเป็นบริษัทฯที่ไม่ได้อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ แต่ได้ทำธุรกิจพลังงานทดแทนมาจะ 10 ปีแล้ว ซึ่งบริษัทฯคิดว่าคงจะทำพวกไบโอแมส-ไบโอแก๊ส เพราะมีความเป็นไปได้ที่จะผลิตไฟฟ้าได้ ส่วนการทำไฟฟ้าจากขยะยังไม่ทำ เพราะเท่าที่ดูยังไม่เห็นมีใครทำแล้วประสบความสำเร็จเลย อีกอย่างบ้านเราไม่ได้มีการแยกขยะด้วย ทำให้มีความเป็นกรดเยอะ การจะนำมาใช้ก็ยังยุ่งยากอยู่"ประธานกรรมการบริหาร DCON กล่าว
นายวิทวัส กล่าวต่อว่า สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯในปีนี้(2558)ยังไม่อยากจะคาดเดา เพราะต้องขึ้นอยู่กับงานของภาครัฐฯเป็นหลัก ซึ่งถ้าโครงการรถไฟรางคู่ออกมาเร็ว ก็จะทำให้รายได้เข้ามาเร็วด้วย เพราะตอนนี้ก็มีการประกบผู้รับเหมารายใหญ่อยู่เพื่อร่วมมือกันทางธุรกิจ
เมื่อเวลา 15.05 น.หุ้น DCON อยู่ที่ 2.62 บาท เพิ่มขึ้น 0.04 บาท(+1.55%)มูลค่าซื้อขาย 62 ล้านบาท โดยเปิดตลาดที่ 2.62 บาท ราคาขึ้นสูงสุด 2.66 บาท และราคาลงต่ำสุด 2.58 บาท