นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า บริษัทยังมองหาการลงทุนธุรกิจใหม่ๆที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจน้ำมัน โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปทั้งด้านการลงทุน และแหล่งที่มาของเงินทุนภายในเดือน เม.ย.นี้ ขณะเดียวกันบริษัทอยู่ระหว่างรอความชัดเจนของการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 ซึ่งทางบริษัทฯก็มีความสนใจที่จะเข้าประมูล เบื้องต้นบริษัทตั้งงบลงทุนปีนี้ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท
"ปัจจุบันเราก็ยังมองหาการเข้าซื้อกิจการธุรกิจขุดเจาะและสำรวจน้ำมันเพิ่มเติมอีก เพราะเรามองว่าปัจจุบันเป็นช่วงที่ไม่ดีนักสำหรับธุรกิจพลังงาน แต่เรามองว่าเป็นโอกาสสำหรับเรา เพราะหลังจากที่ราคาพลังงานร่วงลงมาทำให้ Supply ในตลาดก็หยุดนิ่ง แต่ความต้องการใช้เชื้อเพลิงในโลกเพิ่มขึ้นทุกๆวัน อนาคตราคาก็จะกลับมาสู่ระดับปกติ เราจึงมองหาโอกาสในการลงทุนเพื่อที่จะรองรับอนาคต"นายอภิสิทธิ์ กล่าว
หลังจากบริษัทเข้าซื้อหุ้นของ POES ทำให้มีความสนใจที่จะทำธุรกิจกลางน้ำเพิ่มเติม จากปัจจุบันมีธุรกิจต้นน้ำและปลายน้ำแล้ว ซึ่งระหว่างทางก็ยังมีอีกหลายธุรกิจที่บริษัทสามารถเข้าไปลงทุนได้ โดยหากได้ข้อสรุปการซื้อกิจการใหม่แล้วก็จะพิจารณาหาแหล่งเงินทุนที่เหมาะสม เบื้องต้นบริษัทยังมีความสามารถกู้เงินจากสถาบันการเงินได้ถึง 2-3 พันล้านบาท เพราะมีสัดส่วนหนี้สินต่อทุน(D/E)เพียง 0.3 เท่า และมีเงินทุนหมุนเวียนถึง 2,000 ล้านบาท มีส่วนผู้ถือหุ้น 500-600 ล้านบาท นอกจากนี้ยังสามารถใช้เครื่องมือทางการเงินอื่น ๆ ได้อีก
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ในปีนี้บริษัทตั้งเป้ากำไรจะเติบโตอย่างน้อย 20% โดยคาดว่ารายได้จากธุรกิจเดิมจะเติบโตราว 20% แม้ว่าราคาน้ำมันจะปรับตัวลดลง แต่บริษัทได้รับผลดีจากการขยายตลาดไปต่างประเทศมากขึ้น เช่น สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ทำให้มีปริมาณขายน้ำมันเพิ่มขึ้น รวมทั้งจะรับรู้รายได้จากหารถือหุ้น POES หลังจากการซื้อกิจการแล้วเสร็จในวันที่ 2 ก.พ.ซึ่งคาดว่าจะประเมินรายได้หลังจากหารือกับฝ่ายบริหารของ POES ในช่วงไตรมาส 2/58
"ปีนี้รายได้จากธุรกิจเดิมจะเติบโตราว 20% ขณะที่กำไรสุทธิจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% แน่นอน เพราะเรามีรายได้จากการเข้าซื้อหุ้นในกิจการใหม่ ที่จะเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 1 นี้ทันที และในปีนี้รายได้จากธุรกิจใหม่จะมีสัดส่วนที่มากกว่าธุรกิจเดิม ซึ่งในธุรกิจใหม่มีอัตรากำไรสุทธิมากกว่าธุรกิจเดิมที่อยู่ประมาณ 2-3%"นายอภิสิทธิ์ กล่าว