ทั้งนี้ บริษัทฯตั้งเป้าในอีก 3 ปี (58-60) จะมีรายได้เตะ 1 หมื่นล้านบาท จากปีนี้ที่บริษัทฯคาดว่าจะมีรายได้ราว 7.5 พันล้านบาท โดยปีนี้บริษัทฯได้มีการทำกิจกรรมทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้บริษัทฯเตรียมที่จะออกผลิตภัณฑ์ชาเขียวใหม่ 2-3 ชนิด และมีเครื่องดื่มรสชาติใหม่ 2-3 รสชาติ เพื่อที่จะเป็นการกระตุ้นตลาด
นายตัน กล่าวว่า ในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ยอดขายเติบโตได้ค่อนข้างดี ส่งผลให้บริษัทมั่นใจว่ารายได้ในครึ่งแรกของปีนี้จะเติบโตมากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในเดือน ก.พ.ยอดขายเติบโตมากกว่าเป้าหมายถึง 30% ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะบริษัทได้จัดแคมเปญใหญ่"อิชิตันรหัสรวยเปรี้ยงภาค 4"แจก เบนซ์ 50 วัน 50 คัน เพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงฤดูร้อน จากปกติที่ช่วงหน้าร้อนตลาดเครื่องดื่มจะเติบโตราว 20% อยู่แล้ว
ประกอบกับ หลังจากที่สถานการณ์การเมืองสงบลง การลงทุนทั้งภาครัฐฯและเอกชนก็เริ่มทยอยออกมา ช่วยหนุนเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ ซึ่งทำให้ประชาชนมีกำลังซื้อมากขึ้น
ส่วนแผนการขยายตลาดไปในยังประเทศต่างๆในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC)นั้น ความนิยมในเครื่องอื่มชาเขียวและจำนวนประชากรที่มีค่อนข้างมากน่าจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของยอดขายชาเขียว โดยปีนี้คาดว่าจะมียอดขายราว 280 ล้านบาทจากการส่งออกทุกผลิตภัณฑ์ในเครืออิชิตันไปจำหน่ายยังพม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม และจีน ซึ่งปัจจุบันบริษัทยังมีสัดส่วนส่งออกเพียง 1% แต่ปีนี้ตั้งเป้าจะเพิ่มเป็น 5%
"บริษัทขนาดเล็กก็มีจุดเด่นที่มีความรวดเร็วในการตัดสินใจ บริษัทขนาดใหญ่ก็มีจุดเด่นของเขา ซึ่งตัวเราเองเป็นบริษัทฯขนาดไม่ใหญ่มาก เคลื่นไหวได้รวดเร็วปรับตัวได้ดี ซึ่งบริษัทฯเราสามารถออกผลิตภัณฑ์ใหม่ได้ในระยะเวลาเพียง 3 เดือน และหากกำลังการผลิตของเราเต็มเราสามารถใช้เวลาเพียง 6 เดือนในการเพิ่มกำลังการผลิต ซึ่งหากเทียบกับบริษัทฯใหญ่ๆกว่าจะเพิ่มกำลังผลิต หรือต้องการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ต้องใช้เวลาถึง 2 ปี เราจึงได้เปรียบไม่ว่าจะเป็นการขยายตลาดใหม่หรือการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์"นายตัน กล่าว
สำหรับการทำตลาดในอินโดนิเซียหลังจากเข้าไปร่วมทุนกับพันธมิตรท้องถิ่น บริษัทจะใช้กลยุทธ์ป่าล้อมเมืองกับสินค้าบางตัว ขณะที่สินค้าบางตัวก็ใช้การขายแบบ Mass เพราะต้องยอมรับว่าการที่เป็นธุรกิจของต่างชาติอาจจะต้องก้าวไป โดยเราจะลองการทำตลาดในจังหวัดเล็กๆ ก่อน จากนั้นหากกระเสตอบรับดีก็จะเร่งรุกตลาดเพิ่มขึ้น
"การไปยังประเทศอื่นๆ เราคงยังไม่ได้ออกไปเร็วๆ นี้ ซึ่งเราคงต้องรอให้อินโดนิเซียไม่ติดลบก่อน เรามองจุดคุ้มทุนไว้ 2-3 ปีจากนี้"นายตัน กล่าว
นายตัน กล่าวต่อว่า บริษัทคาดว่าอัตรากำไรสุทธิปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 16-17% จากปีก่อน 17% เนื่องจากมีการบริหารจัดการต้นทุนที่ดีประกอบกับได้รับปัจจัยหนุนจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงในช่วงที่ผ่านมาส่งผลบวกต่อการผลิต โดยเฉพาะส่วนการผลิตขวดชาเขียวที่ใช้ขวด PET เนื่องจากทำให้ราคาวัถดุดิบลดลงด้วย ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตจะลดลงมากขึ้นจากเดิมที่บริษัทฯมีต้นทุนค่อนข้างต่ำกว่าอุตสาหกรรมราว 5-6% อยู่แล้ว
"ทุกๆปีเราตั้งเป้าที่จะมีอัตรากำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 14% ซึ่งเป็นสัญญาใจระหว่างเราและผู้ถือหุ้น ซึ่งจะเห็นจากปีที่ผ่านมาถึงแม้ว่ายอดขายจะไม่เป็นไปตามเป้าหมาย แต่เรายังสามารถรักษาสัญญาใจที่มีระหว่างเราและผู้ถือหุ้นไว้ได้ เนื่องจากเรายังสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้ค่อนข้างดี"นายตันกล่าว