"ในแง่ของการขยายธุรกิจ นอกจากจะรักษากลุ่มลูกค้าเดิมแล้ว ในส่วนของกองทุนรวมเราก็จะมีการออกกองใหม่ ทั้งกองทุนส่วนบุคคลและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ล่าสุดอย่างกองทุนสำรองเลี้ยงชีพปีนี้เราจะเติบโตขึ้นอย่างมาก หลังจากที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้บริหารกองทุนของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพการบินไทย มูลค่าเริ่มต้น 12,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งที่สนับสนุนการเติบโตในปีนี้"นายวนา กล่าว
กลยุทธ์การตลาดจะเน้นการขยายธุรกิจไปยังกลุ่มลูกค้าสถาบัน ประกอบด้วยตัวแทนขายใหม่ และลูกค้าโดยตรง ทั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกองทุนส่วนบุคคล พร้อมไปกับการรักษาฐานลูกค้าเดิม รวมไปถึงการหาพันธมิตรเพิ่ม เพื่อก้าวขึ้นเป็น บลจ.ที่มีเครือข่ายไปทั่วโลก จากปัจจุบัน UOB มีสำนักงานอยู่ 7 ประเทศของภูมิภาคนี้แล้ว
การจัดพอร์ตลงทุนยังคงให้น้ำหนักการลงทุนในประเทศและต่างประเทศ 50:50 โดยในประเทศเน้นการลงทุนในตลาดหุ้น 60% และอีก 40% จะเป็นตราสารหนี้ ส่วนต่างประเทศจะเน้นการลงทุนในหุ้นเป็นหลัก โดยเฉพาะในสหรัฐฯจะเป็นการลงทุนแบบ Sector Fund, ยุโรป จะลงทุนเฉพาะกลุ่มยูโรโซน ส่วนในเอเชียจะเน้นตลาดญี่ปุ่น ขณะที่อินเดียและจีนจะใช้กลยุทธ์การลงทุนระยะสั้น ผลตอบแทนคาดการณ์จะอยู่ระหว่าง 3-10% ขึ้นอยู่กับลูกค้าจะรับความเสี่ยงจากการลงทุนได้มากน้อยเพียงใด
"การลงทุนในหุ้นต่างประเทศ หากเลือก 3 อันดับที่น่าสนใจ มองอันดับหนึ่งเป็นประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดี ซึ่งเศรษฐกิจเป็นการเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ รองลงมาคือสหรัฐฯ และเอเชีย สนใจประเทศอินเดียกับจีน โดยจีนน่าจะมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ 7%"นายวนา กล่าว
น.ส.ศิริพรรณ สุทธาโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย)กล่าวว่า กลยุทธ์การลงทุนปีนี้ยังมีมุมมองบวกต่อการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มธุรกิจสุขภาพ (Healthcare) โดยเป็นการลงทุนในระยะยาว เนื่องจากเศรษฐกิจของสหรัฐฟื้นตัวอย่างชัดเจน จากปัจจัยสนับสนุนของภาคการผลิตที่ปรับตัวดีขึ้น, ภาคการบริโภคที่ได้รับอานิสงส์ราคาน้ำมันที่ปรับลดลง และภาคการจ้างงานที่มีอัตราการว่างงานลดลงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงภาคอสังหาริมทรัพย์มีการสร้างบ้านเพิ่มขึ้นของผู้พัฒนาอสังหาฯ คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวได้กว่า 3% ไปจนถึงปีหน้า
ส่วนยุโรป มีมุมมองเชิงบวกในระยะสั้นต่อการลงทุนในหุ้นจากการใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงิน(QE) โดยธนาคารกลางยุโรป (ECB) ตั้งเป้าหมายเพิ่มงบดุล 1.14 ล้านล้านยูโร จะทำการซื้อพันธบัตรรัฐบาล และตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐวิสาหกิจ ABS and CB ประมาณเดือนละ 6 หมื่นยูโร ระยะเวลา 18 เดือน ขณะที่ยุโรปยังคงต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ การหดตัวของสินเชื่อและอัตราการว่างงานสูง
สำหรับญี่ปุ่น ยังคงแนะนำลงทุนต่อ เชื่อว่าจะเป็นอีกประเทศหนึ่งที่เป็นโอกาสที่ดีของนักลงทุน โดยมองช่วงปลายปี 58 จนถึงปีหน้า ภาพเศรษฐกิจจะเป็นการเติบโตแบบมีเสถียรภาพมากขึ้น หลังจากที่ผ่านมาญี่ปุ่นมีการปรับขึ้นภาษี ทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย รัฐบาลจึงตัดสินใจเลื่อนการปรับขึ้นภาษีรอบที่ 2 ออกไปอีก 18 เดือน จากกำหนดเดิม ต.ค.58 ประกอบกับนโยบายการปรับโครงสร้างต่างๆยังมีอยู่ นอกจากนี้ญี่ปุ่นมีการประกาศชัดเจนว่าอยากให้เงินเฟ้อกลับขึ้นไปที่ 2% ซึ่งสร้างการตื่นตัวของภาคเอกชนที่จะเกิดการลงทุนเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันลูกจ้าง ก็จะมีระดับรายได้ที่เพิ่มขึ้น
น.ส.ศิริพรรณ กล่าวถึงแนวโน้มการลงทุนในประเทศไทยว่า ตลาดหุ้นไทยนั้นยังคงมีแนวโน้มเติบโต จากราคาน้ำมันที่ลดลง การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวดีขึ้น และเม็ดเงินจากแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยมองว่าในระยะสั้นโครงการที่จะมีการลงทุนได้ก่อน คือ รถไฟทางคู่ และโครงการรถไฟฟ้า 10 สายในเขตกรุงเทพฯ ทำให้เป็นแรงกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้ยังคงเติบโตได้และยังส่งผลบวกต่อผลประกอบการของธุรกิจ โดยคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจปี 58 จะเติบโตได้ 3.5-4% จากปีก่อนที่ 0.8%
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่ายังมีปัจจัยที่เป็นกังวล คือการใช้จ่ายภาคผู้บริโภคนอกเขตพื้นที่กรุงเทพฯและปริณฑลยังไม่น่าจะกลับมาขยายตัวได้อย่างชัดเจนนัก เห็นได้จากตัวเลขรายได้เกษตรกรที่อยู่ในระดับต่ำ หลังได้รับผลกระทบจากราคาสินค้าเกษตรตกต่ำอยู่ ทำให้กดดันกำลังซื้อของคนกลุ่มใหญ่ ด้านการใช้จ่ายของคนเมือง ก็ยังมีปัจจัยกดดันจากตัวเลขหนี้ต่อรายได้ของภาคเอกชน
"โดยภาพรวมการเติบโตของเศรษฐกิจโลกจะมาจากทางด้านสหรัฐฯเป็นหลัก ส่วนประเทศไทย ก็มีการเติบโตอยู่ ให้รอดูการใช้จ่ายภาครัฐเชื่อว่าจะทยอยเกิดขึ้น ซึ่งการเติบโตนี้จะเป็นปัจจัยสนับสนุนหลักต่อการลงทุนในหุ้นไทยโดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจอุปโภคบริโภคและกลุ่มธุรกิจก่อสร้าง"น.ส.ศิริพรรณ กล่าว
น.ส.ศิริพรรณ กล่าวเพิ่มเติมว่า UOB ให้เป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้ที่ 1,650 จุด แนวรับที่ 1,550 จุด เป็นผลจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ ที่จะเป็นตัวสนับสนุนหลักต่อเศรษฐกิจไทยที่จะเติบโตได้ในระดับ 3.5-4% ส่งผลต่อกำไรบริษัทจดทะเบียนในปีนี้ที่น่าจะเติบโตได้ 10-12% พร้อมกันนี้ตลาดหุ้นไทยน่าจะมีความผันผวน จากการที่สหรัฐฯปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงไตรมาส 3/58 แนะนักลงทุนให้ระมัดระวังต่อการลงทุนในช่วงดังกล่าว
อีกทั้งมองว่าการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่จะเกิดขึ้นในรอบหน้านี้ น่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้อยู่ในระดับเดิมที่ 2% และหากจะมีการปรับขึ้น คาดว่าจะเป็นการปรับขึ้นในเวลาใกล้เคียงกับทางสหรัฐฯ
แนะนักลงทุนเน้นลงทุนในกลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และนโยบายของภาครัฐ อาทิ หุ้นกลุ่มโทรคมนาคม กลุ่มก่อสร้าง กลุ่มพลังงานทดแทน