การประกาศคงอันดับเครดิตเนื่องจากบริษัทฯ ได้เพิ่มมูลค่าการเสนอขายของหุ้นกู้ชุดดังกล่าวเป็นจำนวนเงินรวมไม่เกิน 2.0 หมื่นล้านบาทจากเดิมไม่เกิน 1.8 หมื่นล้านบาท หุ้นกู้ดังกล่าวประกอบด้วยหุ้นกู้ 2 ชุด ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2560 และปี 2563 โดยเงินที่ได้รับจากการออกหุ้นกู้ดังกล่าวทั้งหมด จะนำไปชำระคืนเงินกู้ยืมจากธนาคาร ซึ่งฟิทช์ได้ประกาศจัดอันดับเครดิตแก่หุ้นกู้ชุดดังกล่าวตามมูลค่าการเสนอขายเดิม เมื่อวันที่ 24 กุมภาพัน์ 2558
ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต อันดับเครดิตที่ต่ำกว่าหุ้นกู้มีประกัน: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิและไม่มีประกันได้รับการจัดอันดับเครดิตที่ต่ำกว่าอันดับเครดิตของหุ้นกู้มีประกันหนึ่งอันดับ เนื่องจากหนี้สินส่วนใหญ่ของบริษัทฯ เป็นหนี้ที่มีหลักประกัน โดยมีอัตราส่วนหนี้สินมีประกันต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่าย (Secured Debt to EBITDA) ที่ 6.2 เท่า ณ สิ้นปี 2557
ผู้นำในธุรกิจร้านสะดวกซื้อ: CPALL เป็นผู้ประกอบการค้าปลีกประเภทร้านสะดวกซื้อที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ด้วยจำนวนร้านสะดวกซื้อภายใต้เครื่องหมายการค้า 7-Eleven มากกว่า 8,000 ร้านทั่วประเทศ โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณร้อยละ 60 ในด้านจำนวนร้าน ซึ่งสูงกว่าผู้ประกอบการรายใหญ่อันดับสองเป็นอย่างมาก ฟิทช์เชื่อว่า CPALL จะสามารถรักษาตำแหน่งผู้นำทางการตลาดไว้ได้ แม้ว่าธุรกิจค้าปลีกจะมีการแข่งขันที่สูง โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการที่บริษัทฯ มีร้านค้าในเครือในจำนวนที่มากกว่าและครอบคลุมพื้นที่มากกว่าคู่แข่งขัน รวมถึงการมีหน่วยงานในเครือที่สนับสนุนกิจการค้าปลีกของบริษัทฯ ได้แก่การบริการด้านลอจิสติกส์ การซ่อมแซมและบำรุงรักษาร้านค้าและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการฝึกอบรมและพัฒนาพนักงาน
เครื่องหมายการค้าที่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง: CPALL บริหารงานร้านสะดวกซื้อภายใต้เครื่องหมายการค้า 7-Eleven ซึ่งเป็นที่รู้จักทั่วโลก ภายใต้สัญญา Area License Agreement ที่ทำกับบริษัท 7-Eleven Inc., แห่งสหรัฐอเมริกา โดยได้เปิดดำเนินการร้านค้าแรกในประเทศไทยเมื่อปี 2532 ปัจจุบันประเทศไทยเป็นประเทศที่มีจำนวนร้านค้า 7-Eleven มากเป็นอันดับที่สองในโลก (ไม่รวมสหรัฐอเมริกา) รองจากประเทศญี่ปุ่น
การขยายธุรกิจไปยังธุรกิจค้าส่ง: การเข้าซื้อกิจการของ Makro ซึ่งเป็นผู้นำในธุรกิจศูนย์จำหน่ายสินค้าระบบสมาชิกแบบชำระเงินสด และบริการตนเอง (Membership based Cash & Carry trade center) ในประเทศไทย ทำให้ CPALL สามารถขยายธุรกิจเข้าสู่ธุรกิจค้าส่ง ซึ่งจะเป็นการเพิ่มฐานลูกค้าทั้งในด้านปริมาณและความหลากหลาย หลังจากการเข้าซื้อกิจการดังกล่าว CPALL ได้กลายเป็นผู้ประกอบกิจการค้าปลีกค้าส่งสมัยใหม่ (Modern Trade) ประเภทอาหารที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
กระแสเงินสดที่มั่นคงและการเติบโตที่แข็งแกร่ง: CPALL มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ค่อนข้างแน่นอน เนื่องจากสินค้าที่ขายในร้านสะดวกซื้อส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวัน ในขณะที่การเติบโตของบริษัทฯ ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากสภาวะของธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ในประเทศไทยที่ยังเติบโตไม่ถึงระดับอิ่มตัว ยอดขายของ CPALL น่าจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2558-2560 จากการเปิดร้านค้าใหม่และอัตราการเติบโตของยอดขายของร้านค้าเดิม แม้ว่าอัตราการเติบโตของยอดขายของร้านค้าเดิมของ 7-Eleven จะติดลบในปี 2557
อัตราส่วนหนี้สินที่สูง: ด้วยความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งของ CP ALL ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินของบริษัทฯ จะลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 4-5 ปีข้างหน้า แม้ว่าแผนการขยายสาขาที่รวดเร็วขึ้นของ Makro ทำให้ Makro และบริษัทฯ (เมื่อพิจารณางบการเงินรวม) มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานหลังหักค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนและเงินปันผลจ่าย (Free Cash Flow, FCF) เป็นลบในปี 2557 แต่ฟิทช์คาดว่าการลดลงของอัตราส่วนหนี้สินน่าจะช้ากว่าที่ฟิทช์คาดการณ์ไว้เดิมเพียงเล็กน้อย โดยอัตราส่วนหนี้สินของบริษัทฯ ที่วัดจากหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนหมุนเวียน (funds flow from operations (FFO) adjusted net leverage) น่าจะลดลงเหลือประมาณ 5.0 เท่าถึง 5.5 เท่าในปี 2558 และต่ำกว่า 3.5 เท่า ในปี 2560 จาก 6.9 เท่า ณ สิ้นปี 2557
สมมุติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ - รายได้รวมมีการเติบโตในอัตราร้อยละ 15-20 ในปี 2558 โดยได้รับแรงสนับสนุนจากร้านค้าที่เปิดใหม่ - อัตรากำไรค่อนข้างคงที่ - มีการเปิดร้านค้าใหม่จำนวน 600 – 650 สาขาต่อปีสำหรับร้าน 7-Eleven และ 10 – 15 สาขาต่อปีสำหรับร้านค้าของ Makro
ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต ปัจจัยลบ: การลดลงของอัตราส่วนหนี้สินที่ช้ากว่าที่คาด โดยมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนหมุนเวียน (FFO adjusted net leverage) ที่อยู่ในระดับสูงกว่า 5.0 เท่าอย่างมีนัยสำคัญในปี 2558 และสูงกว่า 3.5 เท่าในปี 2560 อัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่ายและ ค่าเช่าต่อรายได้ (EBITDAR Margin) ที่ลดลงต่ำกว่าร้อยละ 8.5 อย่างต่อเนื่อง (ปี 2557: ร้อยละ 9.7) และ/หรือ การมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานหลังหักค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนและเงินปันผลจ่าย (FCF) ที่เป็นลบต่อเนื่องกัน 2 ปี
ทั้งนี้ การปรับเพิ่มอันดับเครดิตในช่วง 12-24 เดือนข้างหน้ามีความเป็นไปได้น้อย เนื่องจากอัตราส่วนหนี้สินที่สูงของบริษัทฯ