"มาร์เก็ตแคปที่จะเพิ่มขึ้นนั้นดีมานด์และซัพพลายจะต้องไปด้วยกัน ปีนี้มาร์เก็ตแคปน่าจะได้ 15-16 ล้านล้านล้านบาท เพราะ P/E ตอนนี้ 18 เท่า เทียบกับภูมิภาค 16-19 เท่า ก็ถือว่าไม่ถูกแล้ว"นายสันติ กล่าว
แผนงานด้านผลิตภัณฑ์ใหม่ จะมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้น รวมถึงดัชนีชี้วัดตามแนวคิดการพัฒนาไปสู่ความยั่งยืน เพื่อพัฒนาไปสู่การเข้าร่วมดัชนี DJSI ในอนาคต โดยใช้ บจ.ไทยขนาดใหญ่ที่เติบโตอย่างยั่งยืนเป็นหลักในการคำนวณดัชนี เบื้องต้นมี 10 บริษัท เช่น กลุ่ม PTT, SCC, TUF และ CPN เป็นต้น คาดจะได้เห็นในไตรมาส 3/58 นอกจากนี้ ปีนี้น่าจะสร้างสินค้าและบริการที่เป็น GMS Linked เช่น ตราสารแสดงสิทธิการฝากหลักทรัพย์ต่างประเทศ หรือ Depositary Receipt (DR) ซึ่งอยู่ระหว่างศึกษารายละเอียด
“ปี 63 คาดหวังมาร์เก็ตแคป 20 ล้านล้านบาท เมื่อวอลุ่มตลาดเฉลี่ยต่อวันที่ 1 แสนล้านบาท ซึ่งการที่จะไปให้ถึงเราก็ต้องมีสินค้าใส่ในตะกร้า นอกจากจะมีบริษัทจดทะเบียนไทยเพิ่มเข้ามาแล้วก็คาดหวังจะมี GMS เข้ามาในตะกร้าด้วย"นายสันติ กล่าว
นอกจากนี้ ตลท.ยังตั้งเป้าผู้ลงทุนใหม่(ไม่นับซ้ำ)อยู่ที่ 1.5 ล้านรายในปี 63 จากปัจจุบันอยู่ที่ 7.7 แสนราย โดยในปี 58 ตั้งเป้าผู้ลงทุนใหม่ (ไม่นับซ้ำ) เพิ่มขึ้น 9.5 หมื่นราย สูงกว่าปี 57 ที่มีเป้าหมาย 8.5 หมื่นราย แต่ปรากฎว่าปี 57 ทำได้ถึง 1.2 แสนรายเกินเป้า และในเดือน ม.ค.58 มีผู้ลงทุนใหม่เพิ่มขึ้นแล้ว 1.5 หมื่นราย
ในปีนี้ ตลท.มีโครงการด้านการตลาดที่จะส่งเสริมการขยายฐานผู้ลงทุนรายย่อย ได้แก่ โครงการส่งเสริมการลงทุนสู่ภูมิภาค(New Frontier Road Show) คาดว่าผลการโรดโชว์ร่วมกับโบรกเกอร์จะสร้างนักลงทุนใหม่ได้ 4 หมื่นราย จากปี 57 ที่ 3.7-3.8 หมื่นราย และโครงการ New channel ร่วมกับบริษัทประชีวิต บริษัทไปรษณีย์ไทย ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ เพิ่มช่องทางการลงทุน ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาคาดว่าจะได้เห็นปีนี้
นายสันติ กล่าวต่อว่า ด้านการซื้อขายหลักทรัพย์ผ่านอินเทอร์เน็ตมีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนเป็น 50% ในปี 63 จากขณะนี้อยู่ที่ 43% ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากดจาก 5-6 ปีก่อนที่อยู่ในระดับ 14-15% โดยคาดว่าในปี 59 จะเพิ่มขึ้นเป็น 50% ของมูลค่าการซื้อขายรวม น่าจะทำให้สัดส่วนเหมาะสม
"กลุ่มนี้เป็นเป้าหมายหลักของ ตลท.กลุ่มอินเตอร์เน็ตเทรดดิ้งจะโตเรื่อยๆและเร็วมาก ยังมีช่องทางโต โดยจะเจาะกลุ่มคนใช้เฟซบุ๊ก ซึ่ง online channal จะสอดคล้องกับวิถีชีวิคนพวกนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องให้ความสำคัญ ปัจจุบันสัดส่วนรายย่อยในตลาดฯ ที่ 67% ถือว่าสูง เราก็จะไม่ลด แต่จะทำให้กลุ่มอื่นเพิ่มขึ้นมาด้วย การจะดึงนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาต้องทำให้ตลาดเราน่าสนใจเอาหลักทรัพย์ไปอยู่ใน Index ที่เขาสนใจ นักลงทุนต่างประเทศก็จะเข้ามาเอง"นายสันติ กล่าว