ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร QH กล่าวว่า การเปิดโครงการในปีนี้บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่ 30 โครงการ ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด มูลค่ารวม 3.3 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น บ้านเดี่ยว 12 โครงการ ทาวน์เฮาส์ 8 โครงการ คอนโดมิเนียม 10 โครการ ซึ่งบริษัทจะมีการจับตลาดในทุกระดับตั้งแต่ระดับไฮเอนด์ไปจนถึงระดับล่างทั้งในกรุงเทพฯปริมณฑลและต่างจังหวัด โดยแบ่งสัดส่วนที่จะเน้นหนักไปทางตลาดบนมากขึ้นเป็น 38% จากปีก่อนที่ 14% ของมูลค่าโครงการรวม เนื่องจากผู้บริโภคกลุ่มตลาดบนมีกำลังซื้อสูง และเริ่มมีความต้องการสินค้าระดับไฮเอนด์เพิ่มขึ้น ส่วนกลุ่มลูกค้าตลาดกลางและล่างบริษัทยังคงพัฒนาอยู่อย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยจะมีสัดส่วนอยู่ที่ 37% และ 25% ของมูลค่าโครงการรวม ตามลำดับ
"ตั้งแต่ผมเข้ามารับตำแหน่งก็ยังไม่ได้เปลี่ยนนโยบายในการบริหารงานเลย เพราะนโยบายของ QH ดีอยู่แล้ว แต่ผมเปลี่ยนกลยุทธ์การดำเนินงานบางอย่างให้ โดยเฉพาะรูปแบบโครงการที่จะทำให้ QH ทันสมัยและเป็นวัยรุ่นมากขึ้น ไม่ติดภาพลักษณ์เดิมที่คนมองว่าเป็นผู้สูงอายุ และการพัฒนาโครงการต่างก็จะมีการพัฒนาโครงการตามแนวรถไฟฟ้ามากขึ้น แต่ก็มีการพัฒนาโครงการในรูปแบบหลากหลาย เพื่อกระจายความเสี่ยงออกไป ส่วนในปีนี้ผมก็ให้ไปเน้นตลาดบนมากขึ้น เพราะมีกำลังซื้อสูงและค่อยได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจมากนัก"นายชัชชาติ กล่าว
ล่าสุดวันนี้บริษัทเปิดโครงการคอนโดมิเนียม ระดับซุเปอรีลักซ์ชัวรี่ใหม่ชื่อว่า "คิว สุขุมวิท" ติดสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสนานา มูลค่าโครงการ 1 หมื่นล้านบาท บนเนื้อที่ 3.42 ไร่ เป็นอาคารพักอาศัยสูง 42 ชั้น จำนวน 273 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 26.3 ล้านบาท ทั้งนี้บริษัทมองความโดดเด่นของคอนโดมิเนียมดังกล่าวในเรื่องทำเลที่ตั้งบนทำเลที่มีศักยภาพและใกล้แหล่งอำนวยความสะดวก เช่น ศูนย์การค้าดิเอ็มโพเรียม ศูนย์การค้าเอ็มควอเทียร์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลชิดลมและเซ็นทรัลเอ็มบาสซี โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ โรงเรียนชั้นนำ และใกล้ทางด่วน ประกอบกับการออกแบบคอนโดมิเนียมที่มีสถาปัตยกรรมที่ทันสมัยพร้อมกับความหรูหราและมีคุณภาพ
"ผมไม่ได้คาดหวังว่าคอนโดฯคิว สุขุมวิท จะสามารถขายหมดได้ในเปิด Pre-sale วันแรก แต่อยากให้มันสามารถขายไปได้เรื่อยๆ เพื่อสร้างมูลค่เพิ่มให้กับมัน โดยมองถึงแนวโน้มของราคาขายที่จะมีการปรับขึ้นอยู่ตลอด ลูกค้าที่ซื้อไปก็จะได้มีความคุ้มค่ากับสินทรัพย์ที่เขาได้ลงทุน"นายชัชชาติ กล่าว
ด้านนางสุวรรณา พุทธประสาท รองกรรมการผู้จัดการ QH กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมในปีนี้เติบโต 20% จากปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 2.24 หมื่นล้านบาท มาจากการเติบโตของการรับรู้รายได้ของโครงการอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ที่จะมีการเติบโตขึ้น 20% จากปีก่อน หรือมาอยู่ที่ 2.41 หมื่นล้านบาท ซึ่งมาจากการเริ่มทยอยรับรู้รายได้ของโครงการคอนโดมิเนียมที่จะมีการทยอยโอนมากขึ้น โดยเฉพาะโครงการในต่างจังหวัดในชลบุรี พัทยา และเชียงใหม่ ประกอบกับการโอนคอนโดมิเนียมโครงการใหญ่ คือ โครงการคิว อโศก-เพชรบุรี มูลค่าโครงการกว่า 3.5 พันล้านบาท ในช่วงปลายปีนี้
ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 57 บริษัทมีมูลค่ายอดขายรอโอนอยู่ที่ 8 พันล้านบาท โดยทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้มูลค่า 6.1 พันล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้รายได้ในปี 59
ในไตรมาส 1/58 บริษัทคาดว่ารายได้จากการขายอสังหาริทรัพย์จะเติบโต 15% เมือเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการที่มีคอนโดมิเนียมเริ่มทยอยโอนในช่วงต้นปีค่อนข้างมาก ประกอบกับมีรายได้จากโครงการแนวราบในบางโครงการเข้ามาเสริม
ส่วนรายได้จากค่าเช่าโรงแรมและอาคารสำนักงานของบริษัทในปีนี้ตั้งเป้าเติบโต 15% หรืออยู่ที่ราว 1.2 พันล้านบาท จากปีก่อนที่รายได้ค่าเช่าโรงแรมและอาคารสำนักงานลดลง 15% จากปี 56 มาอยู่ที่ 1.06 พันล้านบาท เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองกระทบรายได้ค่าเช่าโรงแรม แต่แนวโน้มของปีนี้จะดีขึ้นกว่าปีก่อนค่อนข้างมาก ซึ่งเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีในช่วงไตรมาส 4/57 หลังจากมีนักท่องเที่ยวกลับเข้ามาใช้บริการ เนื่องจากมีความมั่นใจสถานการณ์ไนประเทศไทยมากขึ้น ประกอบกับบริษัทมีการปรับอัตราค่าเช่าโรงแรมและออฟฟิศเพิ่ม 15-20% ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาแล้ว จึงมีส่วนช่วยผลักดันรายได้ส่วนนี้ให้มีการเติบโตขึ้น
ด้านยอดขาย Pre-sale ของบริษัทในปีนี้ตั้งเป้าเติบโต 25% หรืออยู่ที่ 2.41 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มียอดขายอยู่ที่ 2.1 หมื่นล้านบาท โดยในช่วงไตรมาส 1/58 บริษัทคาดว่ายอดขาย Pre-sale ของบริษัทจะทำได้ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อนราว 2 พันล้านบาท ซึ่งอาจเป็นผลมาจากกำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้นตัวขึ้นดีมากนัก จากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวดี จึงทำให้ยอดขายในไตรมาส 1/58 ยังไม่มีการเติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตามบริษัททำยอดขายในช่วง 2 เดือนแรกของปี 58 (ม.ค.-ก.พ. 58) ได้แล้ว 1.7 พันล้านบาท
ส่วนงบซื้อที่ดินในปีนี้บริษัทตั้งไว้ที่ 6 พันล้านบาท ซึ่งจะใช้น้อยกว่าปีก่อนที่ใช้งบซื้อที่ดินไป 8 พันล้านบาท เนื่องจากบริษัทจะมีการซื้อที่ดินน้อยลง และเน้นทำเลที่มีศักยภาพ โดยจะเน้นนำงบซื้อที่ดินในสัดส่วน 90% ของงบลงทุนปีนี้ซื้อที่ดินในกรุงเทพฯตามแนวรถไฟฟ้า และส่วนที่เหลืออีก 10% จะซื้อที่ดินในต่างจังหวัด
นอกจากนี้บริษัทเตรียมออกหุ้นกู้ชุดใหม่เพื่อชดเชยหุ้นกู้ชุดเดิมและการใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในช่วงไตรมาส 3/58 วงเงินไม่เกิน 2 พันล้านบาท อายุ 3-5 ปี โดยก่อนหน้านี้บริษัทได้ออกหุ้นกู้ไปแล้ว 1 ชุด มูลค่า 4 พันล้านบาท อายุ 3 ปี ในช่วงเดือนกุมภาพันธุ์ที่ผ่านมา เพื่อชดเชยหุ้นกู้ชุดเดิมที่ครบกำหนดอายุ ซึ่งในปีนี้มีหุ้นกู้ที่ครบกำหนดอายุมูลคค่ารวม 4.6 พันล้านบาท