บลจ.ไทยพาณิชย์ ตั้งเป้าเพิ่ม AUM ปีนี้ ,ชี้ดัชนีระดับ 1,550 เหมาะลงทุน

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday March 9, 2015 12:00 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสมิทธ์ พนมยงค์ กรรมการผู้อำนวยการ บลจ.ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า บลจ.ไทยพาณิชย์ วางเป้าหมายมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) ในปีนี้ให้เติบโตกว่าระดับ 1.09 ล้านล้านบาทในปีก่อน โดยมีนโยบายเชิงรุกในทุกธุรกิจเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาด เน้นการสร้างผลงานกองทุนให้มีผลตอบแทนที่ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะกองทุนประเภทตราสารทุน ขณะที่มองดัชนีระดับ 1,550 เหมาะสมแก่การลงทุนและจะสร้างผลตอบแทนได้ไม่ยากนัก

นอกจากนี้จะขยายการลงทุนของลูกค้าให้กว้างขึ้น โดยการลงทุนในต่างประเทศจะเน้นสินทรัพย์ทางเลือก ได้แก่ กองที่มีการลงทุนแบบ Thematic และกองดัชนีซึ่งการออกขึ้นอยู่กับสถานการณ์การลงทุนในขณะนั้น ส่วนการลงทุนในประเทศ จะมีกองทุนประเภท Trigger Fund ที่ออกตามจังหวะเวลาเพื่อสร้างผลตอบแทนที่เหมาะสมในระยะเวลาที่ไม่นานนัก รวมถึงมีการออกกองทุนกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ เพิ่มเติมนอกเหนือจากกองทุนกลุ่มธนาคารและกลุ่มพลังงานที่มีอยู่

ทั้งนี้ ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลและกองทุนสำรองลี้ยงชีพ ถือเป็นอีกส่วนหนึ่งที่เป็นปัจจัยความสำเร็จ ที่สะท้อนความไว้วางใจจากลูกค้าสถาบันและบุคคล โดยมีเป้าหมายรักษาความเป็นผู้นำอันดับ 1 ในธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล และตั้งเป้าหมายการเติบโตไม่น้อยกว่า 15-20% ในระยะเวลา 2-3 ปีข้างหน้า และยังคงให้ความสำคัญกับลูกค้าในกลุ่มนักลงทุนสถาบัน เช่น บริษัทประกัน รัฐวิสาหกิจ และสถาบันการศึกษา ส่วนธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ตั้งเป้าหมายอัตราการเติบโตอยู่ประมาณ 15% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ โดยเน้นการให้ความรู้แก่สมาชิก ในเรื่องของการวางแผนการลงทุน

"เราไม่ได้ตั้งเป้าหมายการเติบโตของ AUM แต่เราเชื่อว่า AUM จะเติบโตขึ้นกว่าปีก่อน เราจะเน้นในการสร้างผลตอบแทนให้ได้ตามเป้าหมาย ขณะที่ปีนี้เราก็มีแผนออกกองทุนเป็นซีรีย์ๆโดยที่ผ่านมาเราก็ออกกองทุนปีละ 5-6 กอง ซึ่งจะเน้นการลงทุนเป็นหุ้นรายตัวมากกว่า โดยดูปัจจัยจากดัชนี หากอยู่ในระดับ 1,550 จุดถือว่าเป็นจุดที่เหมาะสมแก่การลงทุน และน่าจะให้ผลตอบแทนได้ไม่ยาก"นายสมิทธ์ กล่าว

นายสมิทธ์ กล่าวว่า สำหรับแผนการออกกองทุนในปีนี้ ได้เตรียมออกกอง Trigger Fund ใหม่ มูลค่า 1,000 ล้านบาท ในวันที่ 9-11 มี.ค.นี้ และเตรียมยื่นแบบเสนอขายหุ้นให้ประชาชนทั่วไปครั้งแรก(ไฟลิ่ง)ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) เพื่อขออนุญาตนำตราสารอนุพันธ์ เข้ามาประกอบการลงทุน ในรูปแบบ Trigger Fund คาดว่าน่าจะออกกองดังกล่าวนี้ได้ในช่วงไตรมาส 2 เป็นต้นไป

"จากเดิมเราได้มีการลงทุนใน SET100 มาโดยตลอด และวันนี้เราได้เปลี่ยนแนวทางบริหารใหม่ ซึ่งก็มีนโยบายที่ไม่ได้จำกัดการลงทุนในหุ้นแบบเดิมอีกต่อไปแล้ว อนุพันธ์ก็สามารถเข้ามาประกอบการลงทุนได้ด้วย ทำให้เรามีอาวุธครบมือ"นายสมิทธ์ กล่าว

นายสมิทธิ์ กล่าวอีกว่า สำหรับมุมมองต่อตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันถือว่าอยู่ในระดับที่ไม่ถูกและไม่แพง โดยมีค่า P/E ที่ระดับ 15 เท่า แต่ก็คาดว่าทั้งปีนี้ดัชนีจะมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นได้แต่มี upside จำกัด มองว่าดัชนีน่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,600-1,750 จุด แนะนำให้ลงทุนในหุ้นรายตัว โดยเฉพาะหุ้นที่ได้รับประโชยน์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ส่วนการอัดฉีดเม็ดเงินจากทางยุโรปนั้นจะส่งผลให้ไทยน่าจะได้รับอานิสงส์จากเม็ดเงินที่ไหลเข้ามา ขณะที่คาด EPS Growth ปี 58 จะเติบโตเกิน 20% เป็นการเติบโตจากฐานที่ต่ำหลังปี 57 หลายบริษัทโดนกดดันจากภาวะเศรษฐกิจส่งผลให้กำไรปรับตัวลดลง

สำหรับภาพการลงทุนขณะนี้อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย ที่ประเทศยักษ์ใหญ่ทั้งสหรัฐฯ กลุ่มประเทศยักษ์ใหญ่ทั้งสหรัฐ กลุ่มประเทศยุโรปและญี่ปุ่น ต่างกำลังดำเนินนโยบายการเงินที่สวนทางกัน ส่งผลให้สภาพคล่องโลกยังอยู่ในระดับสูงและอัตราดอกเบี้ยจะทรงตัวระดับต่ำอีกนาน

โดยมองว่าการลงทุนในตลาดหุ้นยังเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดหุ้นยุโรป ญี่ปุ่น และจีน ซึ่งจะมีการพิจารณาใช้นโยบายลดอัตราดอกเบี้ย และกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการอัดฉีดสภาพคล่องของยุโรปที่จะเริ่มในเดือน มี.ค.เป็นต้นไป จะทำให้สภาพคล่องทยอยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงระดับสูงสุดในช่วงปลายปีหน้า โดยเม็ดเงินใหม่ๆจะทยอยเข้าสู่ตลาดทุนโลก ซึ่งหากเข้ามาในเอเชียเป้าหมายแรกจะยังคงเป็นจีนก่อน

ขณะที่การลงทุนในตลาดหุ้นไทยจะเริ่มได้รับอานิสงค์ จากทั้งการลงทุนของภาครัฐและการเมืองในช่วงครึ่งปีหลัง และเชื่อว่าจะได้รับแรงตอบรับจากนักลงทุนต่างชาติมากยิ่งขึ้น โดยต้องเน้นคัดเลือกเป็นรายบริษัท จากราคาหลักทรัพย์ได้ปรับตัวอย่างต่อเนื่องขึ้นมามากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จากสภาพคล่องที่ล้นตลาดโลกแต่ดัชนีหลักทรัพย์ฯอาจปรับตัวขึ้นได้ไม่มากนัก

ด้านนายศรชัย สุเนต์ตา รองกรรมการผู้อำนวยการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บลจ.ไทยพาณิชย์ คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะยังไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมวันที่ 11 มี.ค.นี้ เนื่องจากมองว่าภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศยังไม่ฟื้นตัวเท่าที่ควร และการลดดอกเบี้ยไม่ใช้ทางออกที่ดีที่สุด ประกอบกับขณะนี้เริ่มมีบางหน่วยงานเริ่มปรับลดการขยายการตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้ลงเหลือราว 3.5 % จากเดิมคาดโต 4%

พร้อมกันนี้ มองว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะคงอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำต่อไปจนถึงช่วงสิ้นปี หลังอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ ขณะที่ค่าเงินสกุลดอลลาร์แข็งค่า เชื่อว่าทางเฟดจะไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยสวนทางกับหลายประเทศที่ออกมาประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตามปัจจัยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ จะไม่กระทบต่อนักลงทุนมากนัก จากนักลงทุนส่วนใหญ่รับข่าวมาพอสมควรแล้ว

นายธนวัฒน์ พานิชเกษม รองกรรมการผู้อำนวยการ บลจ.ไทยพาณิชย์ คาดว่านักลงทุนต่างชาติจะกลับมาถือครองหุ้นไทยเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง จากปัจจุบันที่ถือครองหุ้นไทยราว 32-33% เนื่องจากขณะนี้เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย แต่อาจจะกลับมาในหุ้นขนาดใหญ่ใน SET50

"นักลงทุนต่างชาติจะกลับมาช่วงกลางปี ซึ่งเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจดีขึ้น ทั้งการบริโภคที่ฟื้นตัว ยอดงบโฆษณาที่เริ่มกลับมา และการเปิดตัวโครงการของคอนโดมิเนียมที่มีการเปิดตัวมากขึ้น โดยจะกลับมาในลักษณะของเม็ดเงินในหุ้นกลุ่มใหญ่ก่อน"นายธนวัฒน์ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ