"การเปิดเส้นทางใหม่ดังกล่าวนับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ถือเป็นก้าวที่สำคัญของบริษัทฯ ในการเพิ่มจุดขนส่งสินค้า เพื่อการเติบโตของธุรกิจในอนาคต โดยจุดแข็งสำคัญของท่าเรือระนองนั้น นอกจากจะตั้งอยู่บนเส้นทางยุทธศาสตร์สำคัญทางเศรษฐกิจที่จะช่วยย่นทั้งระยะเวลาการขนส่ง และระยะทาง ค่าธรรมเนียมที่ไม่สูงแล้ว ยังเป็นท่าเรือที่มีศักยภาพในการรองรับระบบตู้สินค้าฝั่งทะเลอันดามันของไทย เพื่อเชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้ NCL มีศักยภาพในการแข่งขันและมีรายได้ที่เติบโตเพิ่มมากขึ้นจากการมาใช้บริการจากกลุ่มลูกค้า"นายกร กล่าว
ด้านนายกิตติ พัวถาวรสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NCL กล่าวว่า ท่าเรือระนองเป็นท่าเรือที่มีศักยภาพ และเป็นท่าเรือรัฐที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในฝั่งทะเลอันดามัน สามารถรองรับตู้คอนเทนเนอร์ได้จำนวนมาก ประกอบกับ ปัจจุบันท่าเรือมีความพร้อมด้านสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ครบครัน ซึ่งการเปิดเส้นทางเดินเรือแห่งใหม่ของบริษัทในครั้งนี้จะช่วยประหยัดเวลาในการขนส่งสินค้าไปยังประเทศเมียนมาร์ และประเทศในแถบฝั่งอันดามัน หรือมหาสมุทรอินเดียลงประมาณ 3 เท่า หรือเหลือเพียง 3 วัน เมื่อเทียบกับเส้นทางที่ผู้ประกอบการใช้ในปัจจุบันที่ต้องผ่านท่าเรือกรุงเทพฯ หรือท่าเรือแหลมฉบัง ก่อนจะอ้อมผ่านสิงคโปร์ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 14-21 วัน ด้วยจำนวนตู้คอนเทนเนอร์ขนส่ง 400 ตู้ต่อสัปดาห์ ที่บรรจุสินค้าได้ถึง 1หมื่นตันต่อเที่ยว แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ NCL ที่พร้อมจะช่วยเอื้ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าในการขนส่งอันรวดเร็วอย่างมีประสิทธิภาพ
"เศรษฐกิจประเทศเมียนมาร์กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว และมีโอกาสทางการค้าสูงมาก จึงเป็นโอกาสทางธุรกิจที่สำคัญของบริษัท เพราะเส้นทางขนส่งสินค้าทางน้ำแห่งใหม่นี้จะช่วยย่นระยะเวลาในการขนส่งสินค้า ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์และการลงทุนที่ NCL ต้องการยกระดับมาตรฐานการให้บริการ เพื่อขานรับต่อประสิทธิภาพในการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งการขยายพื้นที่ในภูมิภาคเอเชียถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์และวิสัยทัศน์ระดับสากลของบริษัทที่เฝ้าจับตามองต่ออุตสาหกรรมด้านโลจิสติกส์ในตลาดที่กำลังมาแรง อีกทั้งเป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบเครือข่ายขนส่งของบริษัทให้เพิ่มมากขึ้น และบริษัทเป็นรายเดียวในขณะนี้ที่เป็นผู้ให้บริการการขนส่งดังกล่าว หากประสบความสำเร็จจะช่วยสร้างรายได้และกำไรให้กับบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ"นายกิตติกล่าว
นายกิตติ กล่าวอีกว่า แผนธุรกิจในปีนี้บริษัทเตรียมเปิดสาขาต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะในประเทศเพื่อนบ้าน เน้นในแถบอาเซียน อาทิ ลาว มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เพื่อรองรับการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) โดยสาขาแรกที่เปิดไปแล้ว คือ ประเทศสิงคโปร์ ชื่อ บริษัท เอ็นซีเอล อินเตอร์ โลจิสติกส์ จำกัด ซึ่งบริษัทมีเป้าหมายหลักต้องการให้ธุรกิจของบริษัทเป็นที่รู้จักมีโอกาสในธุรกิจที่ดำเนินการอยู่มากขึ้น ที่สำคัญผลักดันให้ผลการดำเนินงานของเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายในปี 58 จะทำรายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 30% เป็นการเติบโตที่มาจากสัดส่วนการเพิ่มขึ้นของงานโลจิสติกส์ทั้งในและต่างประเทศ ประกอบกับบริษัทจะมีแหล่งรายได้เพิ่มเข้ามาทั้งจากการเข้าไปถือหุ้นในบริษัทที่สิงคโปร์ รวมถึงการเปิดเส้นทางขนส่งทางน้ำแห่งใหม่ที่ท่าเรือระนอง