ทั้งนี้ในปี 58 บริษัทจะตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านตลาดคอนโดแนวรถไฟฟ้า ผ่านการเปิดคอนโด 10 โครงการ ที่อยู่ใกล้แนวรถไฟฟ้าเพียง 1 ก้าว ซึ่งเป็นการเปิดตัวมากที่สุดเท่าที่บริษัทเคยดำเนินการมา โดย 10 โครงการดังกล่าวประกอบไปด้วย 1.LIFE อโศก 2.Aspire เอราวัณ 3.Aspire สาทร-ราชพฤกษ์ 4.Aspire ลาดพร้าว 5.RHYTHM รางน้ำ 6.Aspire วุฒากาศ 7.Aspire จรัญสนิทวงศ์ 8.Aspire สาทร-ตากสิน คอร์เปอร์โซน 9.LIFE สุขุมวิท 48 10.อยู่ระหว่างจัดหาที่ดิน
ทั้งนี้ บริษัท พร้อมจะเปิดขายโครงการที่ 1-6 ก่อนภายในเดือนมิถุนายน ที่เหลือจะทยอยเปิดช่วงไตรมาส 3/58 และไตรมาส 4/58 รวมถึงโครงการที่อยู่ระหว่าการขายและก่อสร้างอีก จำนวน 24 โครงการ และยังจะสร้างแบรนด์องค์กรควบคู่ไปกับการพัฒนาสินค้า
นายวิทการ จันทรวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์การตลาด AP กล่าวว่า บริษัทคาดว่าอัตรากำไรสุทธิในปี 58 จะเพิ่มขึ้นเป็น 12.4% จากปีก่อนที่ 11.6% หลังมีการทยอยโอนโครงการแนวราบและแนวสูงเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายรายได้ในปีนี้ที่บริษัทตั้งไว้ที่เติบโต 10% หรืออยู่ที่ 2.53 หมื่นล้านบาท ขณะเดียวกันบริษัทยังได้มีการบริหารจัดการต้นทุนในการทำการตลาดและการขายโครงการอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยให้อัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้น และส่งผลสนับสนุนอัตรากำไรสุทธิในปีนี้ด้วย
ขณะที่ยอดขายรอโอน (Backlog) ในปัจจุบันของบริษัทซึ่งรวมกับบริษัทร่วมทุนกับบริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป อยู่ที่กว่า 2 หมื่นล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ 1.38 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นการรับรู้รายได้จากโครงการแนวราบ 3.8 พันล้านบาท และการรับรู้รายได้จากโครงการคอนโดมิเนียม 1 หมื่นล้านบาท และ Backlog ที่เหลือจะทยอยโอนในปีถัดไป
ในปีนี้บริษัทตั้งงบซื้อที่ดินไว้ที่ 1.1 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ใช้ไป 8 พันล้านบาท โดยจะเน้นซื้อที่ดินตามแนวรถไฟฟ้า ซึ่งเน้นในเขตกรุงเทพฯ โดยบริษัทยังไม่มีแผนการขยายโครงการไปในต่างจังหวัด เนื่องจากอัตราขยายตัวในต่างจังหวัดยังต่ำกว่าอัตราการขยายตัวในกรุงเทพฯ
นายวิทการ กล่าวว่า ในไตรมาส 1/58 บริษัทตั้งเป้ารับรู้รายได้อยู่ที่ 5.3 พันล้านบาท ขณะที่ยอดขายตั้งเป้าไว้ที่ 4.3 พันล้านบาท โดยปัจจุบันสามารถทำยอดขายได้แล้ว 4 พันล้านบาท ซึ่งยอดขายในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาบริษัททำยอดขายได้สูงสุดในรอบ 20 ปี โดยมองว่าเป็นผลมาจากสภาวะตลาดในปัจจุบันมีแนวโน้มที่ดีขึ้น จากการเมืองมีความสงบ ส่งผลให้ความเชื่อมั่นกลับมาเพิ่มขึ้น ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่ยังคงทรงตัว ช่วยสนับสนุนให้การซื้ออสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น อีกทั้งการสนับสนุนการลงทุนระบบรถไฟฟ้าของภาครัฐยังช่วยให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยมีการขยายตัวมากขึ้น ทั้งนี้มองว่าภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยในปีนี้จะเติบโตได้ในระดับ 7-8%