สำหรับในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ก.พ. 58) ยอดขายรวมของ 2 กลุ่มธุรกิจดังกล่าว เติบโตใกล้เคียงเป้าหมาย ที่ตั้งไว้ 25% ทำให้คาดว่ายอดขายทั้งไตรมาสแรกปีนี้จะทำได้ใกล้เคียงเป้าหมายทั้งปี เนื่องจากสภาพตลาดรวมทั้งกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มฟื้น แม้ภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยจะยังไม่ชัดเจนมากนัก โดยคาดว่าช่วงไตรมาส 2/58 ยอดขายของบริษัท ทั้ง 2 กลุ่มจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลวันหยุดยาวในฤดูร้อนของไทย ประกอบกับการออกแคมเปญ การตลาดจะช่วยกระตุ้นยอดขายให้เพิ่มขึ้น โดยทั้งปีนี้บริษัทใช้งบการตลาดสำหรับกลุ่มธุรกิจอาหาร 5% ของยอดขาย และงบ การตลาดสำหรับกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่ม 14% ของยอดขาย
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิปีนี้จะเพิ่มขึ้นประเภทละ 2% จากปีก่อน ซึ่งมาจากการบริหารจัดการต้นทุนทางการขายและการตลาดที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยบริษัทได้ปรับการทำการตลาดที่ไม่เน้นการแข่งขันทางด้านราคามากจนเกินไป แต่เน้นการทำกิจกรรมส่งเสริมการขายกับร้านค้าที่ร่วมรายการ ซึ่งจะแสดงถึงความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภคมากกว่าการแข่งขันทางด้านราคา อย่างไรก็ตามส่วนแบ่งตลาดของเครื่องดื่มชาเขียวของบริษัทยังคงเป็นอันดับที่ 1 ในปัจจุบัน โดยมีส่วนแบ่งการตลาดที่ 51% มากกว่าคู่แข่งที่มีส่วนแบ่งตลาดในปัจจุบันที่ 27%
ส่วนงบลงทุนในปีนี้ตั้งไว้ที่ 900 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่ใช้งบลงทุน 1.8 พันล้านบาท เนื่องจากในปีนี้ไม่ได้ขยายกำลังการผลิตเครื่องดื่มให้มากขึ้น แต่จะไปเน้นการปรับปรุงสายการผลิตเครื่องดื่มให้มีประสิทธิภาพ โดยงบลงทุน แบ่งเป็นงบลงทุนสำหรับกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่ม สำหรับการปรับปรุงสายการผลิต 200 ล้านบาท ปัจจุบันมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 15 ล้านขวด/เดือน ส่วนเงินลงทุนสำหรับกลุ่มธุรกิจอาหาร จะใช้ในการปรับปรุงและขยายสาขาเพิ่ม 600 ล้านบาท โดยจะขยายสาขาเพิ่มเป็น 255 สาขา จาก 225 สาขาในสิ้นปี 57 และเงินลงทุนอื่นๆอีก 100 ล้านบาท
สำหรับเป้าหมายในปี 63 บริษัทคาดว่าจะมียอดขาย 4.3 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่ม 3 หมื่นล้านบาท และกลุ่มธุรกิจอาหาร 1.3 หมื่นล้านบาท พร้อมวางเป้าหมายกำไรเติบโตเฉลี่ยปีละ 12% โดยบริษัทจะเน้นการ ขยายออกไปยังต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะครอบคลุมประเทศในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ทั้งหมด ซึ่งปีนี้จะส่งออกเครื่องดื่มไปยังตลาดใหม่ ในเมียนมาร์และเวียดนาม โดยตั้งเป้ายอดขายในเมียนมาร์ปีนี้ที่ 100-200 ล้านบาท
ปัจจุบันบริษัทส่งออกสินค้าไปยังประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ ลาว และกัมพูชา โดยคาดว่าในปี 63 สัดส่วนรายได้จาก ต่างประเทศจะเพิ่มเป็น 55% จากปัจจุบันที่ 10% และสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศจะลดลงเป็น 45% จากปัจจุบันที่ 90%
นายมารุต กล่าวว่า สำหรับการซื้อกิจการอาหารและเครื่องดื่มเพื่อมาเสริมความแข็งแกร่งและเสริมศักยภาพของบริษัท นั้น ขณะนี้ก็ได้มีการเจรจาในหลายกิจการ แต่ยังไม่สามารถสรุปได้ โดยกลุ่มธุรกิจที่บริษัทจะเข้าซื้อกิจการนั้นจะต้องมีรูปแบบและมีกลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่น เพื่อตอบโจทย์แบรนด์ของบริษัท และยอดขายของธุรกิจอาหารที่สนใจซื้อจะไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท/ปี และกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มที่สนใจซื้อจะต้องมียอดขายไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านบาท/ปี ทั้งนี้ เงินลงทุนในปีนี้ที่ระดับ 900 ล้านบาท ก็ มีเงินส่วนหนึ่งที่จะนำไปไว้ใช้สำหรับการซื้อกิจการอาหารและเครื่องดื่มด้วย