ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กรและแนวโน้ม PREB ที่ “BBB-/Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday March 12, 2015 11:21 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ. พรีบิลท์ (PREB) ที่ระดับ “BBB-" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่" โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงผลงานในการก่อสร้างโครงการอาคารสูงของบริษัทที่เป็นที่ยอมรับ รวมถึงยอดขายรอการรับรู้รายได้ที่แข็งแกร่ง และอัตรากำไรที่ค่อนข้างดี

ทว่าจุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากธรรมชาติที่ผันผวนของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ตลอดจนความเสี่ยงจากงานก่อสร้างที่ไม่มีความหลากหลาย ประวัติผลการดำเนินงานที่ค่อนข้างสั้นในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และภาระหนี้ที่มีโอกาสเพิ่มสูงขึ้น ใน

ขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะรักษาความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจหลักได้อย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าภาระหนี้จะสูงขึ้นแต่ก็น่าจะควบคุมได้แม้ว่าบริษัทจะมีแผนพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมมากขึ้นในระยะ 3 ปีข้างหน้า อันดับเครดิตและหรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับเพิ่มขึ้นได้หากรายได้และความสามารถในการทำกำไรของบริษัทดีขึ้นตามแผนและอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทไม่เพิ่มสูงเกิน 50%

ในทางกลับกัน อันดับเครดิตและหรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับลดลงได้หากสถานะทางการเงินของบริษัทถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญเนื่องจากการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ หรือเกิดการลดลงของรายได้และความสามารถในการทำกำไรอย่างมาก

บริษัทพรีบิลท์ก่อตั้งในปี 2538 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2548 ณ เดือนพฤษภาคม 2557 กลุ่มตระกูลเจริญตาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทในสัดส่วน 26% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด บริษัทดำเนินกิจการรับเหมาก่อสร้างทั่วไปโดยเน้นงานก่อสร้างอาคารสูง รายได้ของบริษัทโดยเฉลี่ยระหว่างปี 2551-2555 อยู่ที่ 2,585 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2556 รายได้รวมของบริษัทเพิ่มขึ้นมากกว่า 6,000 ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ รายได้จากธุรกิจรับเหมาก่อสร้างคิดเป็น 80%-90% ของรายได้รวมของบริษัทในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา รายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการขายวัสดุก่อสร้างยังคงมีสัดส่วนค่อนข้างต่ำ แต่ก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2553 บริษัทรับรู้รายได้จากคอนโดมิเนียมแล้วทั้งหมด 4 โครงการ

สถานะทางธุรกิจในระดับปานกลางสะท้อนถึงผลงานก่อสร้างโครงการอาคารสูงเพื่อพักอาศัยและเพื่อการพาณิชย์ที่เป็นที่ยอมรับ โดยลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัทเป็นผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยซึ่งมีความน่าเชื่อถือในระดับที่ยอมรับได้ ตั้งแต่ปี 2554 จนถึงปี 2557 บริษัทมี บริษัท ควอลิตี้เฮ้า จำกัด (มหาชน) และกลุ่มของมูลนิธิวัดธรรมกายเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดซึ่งแต่ละรายสร้างรายได้ให้แก่บริษัทคิดเป็นสัดส่วน 20%-30% ของรายได้รวมต่อปี ณ สิ้นปี 2557 บริษัทมียอดรอรับรู้รายได้จำนวน 8.8 พันล้านบาท

สถานะทางการเงินของบริษัทอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ ตั้งแต่ปี 2553 อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทอยู่ในช่วง 10% ถึง 12% อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างอยู่ที่ประมาณ 8% ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 43% อัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่าจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ช่วยหนุนให้อัตรากำไรขั้นต้นโดยรวมของบริษัทเพิ่มขึ้น อัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทอยู่ในช่วง 5%-7% อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนอยู่ที่ประมาณ 9% ระหว่างปี 2555-2556 อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 28% ณ สิ้นปี 2557 จากการที่บริษัทลงทุนในโครงการคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่คือ “TEMPO Grand Sathorn-Wuttakard" ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้รวมของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 6 พันล้านบาทในปี 2558 ระหว่างปี 2559-2560 คาดว่ารายได้รวมจะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ประมาณ 7-8 พันล้านบาทต่อปี รายได้ที่เติบโตส่วนใหญ่มาจากการโอนโครงการคอนโดมิเนียม TEMPO Grand Sathorn-Wuttakard อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 5%-6% เป็น 10% ระหว่างปี 2559-2560 เงินทุนจากการดำเนินงานคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเช่นกันจากระดับ 200-300 ล้านบาทต่อปีในปี 2557-2558 เป็น 500 ล้านบาทต่อปี ในช่วงปี 2559-2560 เนื่องจากการขยายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนจึงคาดว่าจะเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม คาดว่าบริษัทจะรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนให้ต่ำกว่า 60% ในระยะ 3 ปีข้างหน้า สภาพคล่องซึ่งสะท้อนได้จากอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมและอัตราส่วนกำไร (ก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย) ต่อดอกเบี้ยจ่ายคาดว่าจะอ่อนตัวลง อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเร็วกว่ากำไรของบริษัท ในระหว่างปี 2558-2560 อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 20% ในขณะที่อัตราส่วนกำไร (ก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย) ต่อดอกเบี้ยจ่ายจะอยู่ที่ประมาณ 5 เท่า


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ