ทั้งนี้ บริษัทจะรักษาอัตรากำไรสุทธิในปีนี้ให้อยู่ที่ระดับ 20% ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นจะรักษาไว้ที่ระดับ 50% เนื่องจาก บริษัทจะคัดเลือกการรับงานที่มีมาร์จิ้นดีมากขึ้น
เมื่อปีที่แล้ว MACO มีกำไรสุทธิ 133.47 ล้านบาท และมีรายได้รวม 622.08 ล้านบาท
นายนพดล คาดว่า ผลประกอบการในไตรมาส 1/58 จะดีกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน หลังมีเม็ดเงินโฆษณาเข้ามามากขึ้น รวมทั้งไม่มีผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมืองเข้ามากดดัน ทำให้ผู้ประกอบการหันมาใช้สื่อโฆษณามากขึ้น
ขณะที่ปีนี้บริษัทมีแผนจะขยายพื้นที่สื่อโฆษณาอีก 20,000 ตารางเมตร(ตร.ม.) เป็น 100,000 ตารางเมตรในสิ้นปีนี้ จากปัจจุบันที่มีพื้นที่ 80,000 ตารางเมตร แบ่งเป็นพื้นที่สื่อโฆษณาป้ายกลางแจ้ง 75,000 ตารางเมตร สื่อบริเวณถนนและตอม่อ BTS หรือ Street Furniture สื่อโฆษณาบริเวณสถานีขนส่งและยานพาหนะอีกประมาณ 5,000 ตารางเมตร
สำหรับแผนการดำเนินงานปีนี้ บริษัทได้ชูยุทธศาสตร์ OHM Nationwide Network เพื่อรุกขยายธุรกิจ MACO Space ในด้านการบริหารพื้นที่สื่อโฆษณานอกที่อยู่อาศัย โดยมุ่งการสร้างเครือข่ายสื่อโฆษณาเพื่อสร้าง Impact ด้านการสื่อสารการตลาดและสร้างแบรนด์ให้แก่ลูกค้า โดยจะดำเนินโครงการ M Network ในการขยายพื้นที่สื่อโฆษณานอกที่อยู่อาศัยทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ตามหัวเมืองใหญ่ในจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญๆ และจังหวัดที่มีพรมแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน ผ่านรูปแบบป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ ป้ายบิลบอร์ดขนาดเล็กตามพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ รวมทั้ง PTT Poster ที่เป็น lightbox ขนาดใหญ่ในสถานีบริการน้ำมันปตท.ด้วย
ส่วนกลุ่มธุรกิจ Non MACO Space ซึ่งเป็นการให้บริการผลิตชิ้นงานสื่อโฆษณาตามความต้องการของลูกค้าในลักษณะ Made to Order รวมถึงการรับจัดงาน Event ต่างๆ ก็คาดว่าจะมีอัตราการขยายตัวได้ดี เนื่องจากบริษัทมีทีมสร้างสรรค์โฆษณาที่พร้อมออกแบบชิ้นงานโฆษณาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ดี
พร้อมกันนี้ บริษัทยังได้เสริมความแข็งแกร่งด้านทีมผู้บริหาร โดยได้แต่งตั้ง นายณรงค์ ตรีสุชน ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด รับผิดชอบงานด้านการวางกลยุทธ์การตลาดเพื่อช่วยขยายฐานลูกค้าให้กว้างมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ทีมผู้บริหารของ MACO มีความแข็งแกร่งและรองรับการรุกขยายธุรกิจในปีนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
"เรามีเป้าหมายต้องการเป็นผู้นำใน OHM solution provider ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในด้านการสื่อสารการตลาดและช่วยสร้างแบรนด์ให้แก่เจ้าของสินค้าผ่านสื่อโฆษณานอกที่อยู่อาศัย ซึ่งทำให้ MACO มีความโดดเด่นเหนือคู่แข่งและเราคาดว่าผลการดำเนินงานในปีนี้ให้เติบโต ไม่ต่ำกว่า 20%"นายนพดล กล่าว
นายนพดล กล่าวว่า บริษัทได้วางงบลงทุนปีนี้ไว้ที่ 500 ล้านบาท เพื่อลงทุนนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่พื้นที่สื่อโฆษณานอกที่อยู่อาศัยของ MACO เพิ่มเติมเพื่อสร้างรายได้ให้มากขึ้นและยังเป็นการรองรับโอกาสการใช้จ่ายเม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อโฆษณานอกที่อยู่อาศัยของเจ้าของสินค้าและเอเยนซี่ ที่คาดว่าจะขยายตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ที่มีมูลค่าอยู่ที่ 3,990 ล้านบาท เนื่องจากสื่อโฆษณานอกที่อยู่อาศัย เป็น Platform ที่สร้าง Impact ไปยังกลุ่มเป้าหมายและยังสามารถช่วยสนับสนุนการทำตลาดผ่านสื่อ online ทำให้เกิดการผสมผสานการใช้สื่อเพื่อสื่อสารไปยังกลุ่มลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ เงินลงทุนดังกล่าวจะมาจากการกู้จากธนาคารพาณิชย์ซึ่งปัจจุบันบริษัทยังมีศักยภาพในการกู้ เนื่องจากมีต้นทุนทางการเงินในระดับต่ำโดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน(D/E) อยู่ที่ 0.25 เท่า ขณะที่บริษัทยังมีกระแสเงินสด(Cash Flow) อีกประมาณ 400 ล้านบาท รวมถึงยังช่องทางการระดมเงินทุนจากการออกหุ้นกู้ ที่ได้ขออนุมัติจากผู้ถือหุ้นไว้แล้ว 1,000 ล้านบาท
นอกจากนี้บริษัทอยู่ในระหว่างการเจรจากับพันธมิตร 2-3 ราย ในแถบประเทศประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) เช่น ในมาเลเซีย พม่า เพื่อขยายธุรกิจ และขยายช่องทางการสร้างรายได้จากปัจจุบันที่บริษัทจะมีรายได้ในประเทศเป็นหลักส่วนรูปแบบจะเป็นลักษณะการเข้าไปถือหุ้นหรืออาจจะเป็นพันธมิตรทางการค้า ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ 1 ดีลในปีนี้ โดยประเทศที่มีความเป็นไปได้สูงคือประเทศมาเลเซีย
อย่างไรก็ตามปีนี้บริษัท ยังไม่มีแผนปรับอัตราการให้บริการโฆษณา เนื่องจากภาพรวมการแข่งขันของผู้ให้บริการสื่อโฆษณาปีนี้คาดว่าจะมีการแข่งขันสูง แต่ทั้งนี้บริษัทอาจจะเลือกปรับขึ้นในบางทำเลที่มีการจองเกือบระดับ 100%
สำหรับการที่ บมจ.วีจีไอ โกลบอล (VGI) เข้ามาถือหุ้นบริษัทในสัดส่วน 24.89% มองว่าเป็นผลดีต่อบริษัท ทำให้บริษัทแบ่งสัดส่วนการขยายพื้นที่สื่อโฆษณา ได้อย่างชัดเจน โดย MACO จะมีเน้นขยายสื่อโฆษณาภายนอกที่อยู่ศัย(Outdoor) ส่วนVGI จะเน้นขยายสื่อโฆษณาในสถานีรถไฟฟ้า BTS และไฮเปอร์มาร์เก็ต อีกทั้งยังเป็นการ Synergy ทางธุรกิจทั้งสองฝ่าย โดยในอนาคตบริษัทมีแผนขยายสื่อโฆษณาภายนอกที่อยู่อาศัยในต่างจังหวัดมากขึ้น และจะเน้นทำเลตามหัวเมืองใหญ่ คาดว่าสัดส่วนรายได้จากจะมีการเติบโตคู่กันไปจากปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้ในกรุงเทพฯและปริมณฑลประมาณ 70% และอีก 30% อยู่ในต่างจังหวัด